กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD
ทีมแพทย์ HD
ตรวจสอบความถูกต้องโดย
ทีมแพทย์ HD

กินคอลลาเจน ทำให้ผิวของเราขาวขึ้นจริงหรือ?

คอลลาเจน ช่วยเรื่องผิวจริงหรือไม่ แล้วควรจะเลือกใช้แบบไหนดี
เผยแพร่ครั้งแรก 29 มี.ค. 2017 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 5 มิ.ย. 2019 เวลาอ่านประมาณ 6 นาที
กินคอลลาเจน ทำให้ผิวของเราขาวขึ้นจริงหรือ?

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • คอลลาเจน คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มความแข็งแรง และความยืดหยุ่นให้กับอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะผิวหนัง
  • ร่างกายสามารถผลิตคอลลาเจนได้เอง โดยจะผลิตได้มากเมื่ออายุยังน้อย และจะค่อยๆ ผลิตได้น้อยลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผิวพรรณขาดความกระชับ หย่อนคล้อย เกิดริ้วรอย และความหมองคล้ำ
  • แหล่งอาหารที่พบคอลลาเจน เช่น ปลาทะเล เนื้อสัตว์ต่างๆ พืชผักใบเขียว ถั่วหลากสี ผักผลไม้สีแดงส้ม เอ็นหมู หรือเอ็นวัว
  • ร่างกายต้องการคอลลาเจน 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน โดยแนะนำให้รับประทานร่วมกับวิตามินซี ในขณะที่ท้องว่าง เพราะวิตามินซีจะช่วยเพิ่มความสามารถในการดูดซึมคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกาย
  • คอลลาเจนสกัดได้จากทั้งพืชและสัตว์ ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้ จึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนรับประทาน (ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพได้ที่นี่)

ในปัจจุบัน คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก "คอลลาเจน (Collagen)" หนึ่งในสารอาหารยอดนิยม ตัวช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้กระจ่างใส ที่เป็นส่วนผสมสำคัญในครีมทาผิว ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เครื่องดื่ม หรือแม้กระทั่งผสมลงไปในขนมขบเคี้ยว ซึ่งในวันนี้ เราจะพาไปทำความรู้จักคอลลาเจนกัน 

คอลลาเจนคืออะไร?

คอลลาเจน คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่เกิดจากการรวมตัวของ กรดอะมิโน (Amino Acid) หลายชนิดต่อกัน โดยปกติร่างกายมนุษย์จะมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็น ขน และเส้นผม รวมไปถึงเนื้อเยื่อทั้งหมดในร่างกาย 

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ผลิตภัณฑ์สำหรับเข่าและกระดูก สูตรเฉพาะ รวมสารสกัดที่ผ่านงานวิจัย คอลลาเจน UC-II ขมิ้นชัน งาดำ และวิตามิน

ซื้อผ่าน HD ประหยัดกว่า / ราคาพิเศษสำหรับ นศ. / ผ่อน 0% / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

คอลลาเจนจะทำหน้าที่เพิ่มความแข็งแรง และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับอวัยวะต่างๆ โดยคอลลาเจนจะผลิตได้มากในขณะที่เราอายุยังน้อย และจะค่อยๆ ลดปริมาณการผลิตลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น

แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้ประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจนลดลง ปัจจัยต่างๆ เช่น รังสีอัลตราไวโอเลต และพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ก็มีส่วนให้ปริมาณการผลิตคอลลาเจนลดลงได้อีกด้วย 

เมื่อปริมาณคอลลาเจนลดลงก็จะส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่างๆ กับผิวพรรณ เช่น ผิวพรรณขาดความกระชับ หย่อนคล้อย เกิดริ้วรอย และเกิดความหมองคล้ำ จึงทำให้คนส่วนมากเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนมาทดแทนในส่วนที่ขาดหายไปนั่นเอง

คอลลาเจนเกี่ยวข้องกับผิวพรรณอย่างไร?

ผิวหนังแบ่งเป็น 3 ชั้น ได้แก่ ชั้นหนังกำพร้า หนังแท้ และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง 

คอลลาเจนมีความสัมพันธ์กับชั้นหนังกำพร้า หรือหนังชั้นนอกในเรื่องของการเกิดสิว ฝ้า กระ 

ส่วนหนังแท้จะเกี่ยวข้องกับการเกิดริ้วรอยแห่งวัย เนื่องจากในผิวชั้นนี้จะประกอบด้วยโปรตีนเส้นใย 2 ชนิดทำงานร่วมกัน คือ

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ผลิตภัณฑ์สำหรับเข่าและกระดูก สูตรเฉพาะ รวมสารสกัดที่ผ่านงานวิจัย คอลลาเจน UC-II ขมิ้นชัน งาดำ และวิตามิน

ซื้อผ่าน HD ประหยัดกว่า / ราคาพิเศษสำหรับ นศ. / ผ่อน 0% / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

  1. คอลลาเจนและอีลาสติน ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างให้ความเหนียว ตึง แข็งแรง และเรียบเนียนของผิวหนัง ส่วนอีลาสตินทำหน้าที่ให้ความหยืดหยุ่นต่อผิวหนัง
  2. ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง เป็นส่วนที่รองให้ผิวหนังคงรูปร่าง สามารถรับแรงกระแทก ตลอดจนสะสมพลังงานให้กับร่างกาย

เรื่องสำคัญอีกหนึ่งอย่าง คือ เรื่องของความอ่อนเยาว์ ที่เกิดจากผลของการทำงานร่วมกันระหว่างชนิดของคอลลาเจนที่เรียกว่า "โซลูเบิลคอลลาเจน (Soluble Collagen)" กับอีลาสติน ที่ผสานกันทำหน้าที่ช่วยให้เซลล์สามารถอุ้มน้ำ และความชุ่มชื้นไว้ได้ เซลล์ในผิวหนังจึงเต่งตึง และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น คอลลาเจนชนิดนี้จะเปลี่ยนสภาพไปเป็นคอลลาเจนอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "อินโซลูเบิลคอลลาเจน (Insoluble Collagen)" กลายเป็นโปรตีนที่ทนต่อสารเคมีมากขึ้น ทำให้สูญเสียความยืดหยุ่นของเซลล์ไป 

อีกทั้งคุณสมบัติในการรักษาความชุ่มชื้นต่อเซลล์ผิวลดลงตามลำดับ ส่งผลให้เกิดผิวหนังเกิดการยุบตัว กลายเป็นริ้วรอยบนใบหน้า หรือผิวหนังในบริเวณอื่นตามมา

คอลลาเจนในอาหารมีอะไรบ้าง?

นอกจากคอลลาเจนจะสามารถผลิตขึ้นได้เองภายในร่างกายของมนุษย์แล้ว เรายังสามารถพบคอลลาเจนได้จากแหล่งอาหารอื่นๆ เช่น ปลาทะเล เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วหลากสี พืชผักใบเขียว เห็ดชนิดต่างๆ ผักผลไม้สีแดงส้ม เอ็นหมู และเอ็นวัว

เราควรเลือกอาหารเสริม หรือครีมผสมคอลลาเจน?

เป็นธรรมดาเมื่ออายุมากขึ้น ปัญหาริ้วรอยต่างๆก็ตามมา ทำให้คนส่วนใหญ่สนใจกับเรื่องนี้กันมาก ซึ่งในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนจำนวนมากที่ช่วยในเรื่องของการลดริ้วรอย ทำให้ผิวเต่งตึง 

แต่ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นก็ยังมีส่วนผสมของสารเคมีอยู่ด้วย และบางผลิตภัณฑ์เมื่อใช้ไปแล้วก็อาจไม่เกิดผลที่ควรจะได้รับ 

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ผลิตภัณฑ์สำหรับเข่าและกระดูก สูตรเฉพาะ รวมสารสกัดที่ผ่านงานวิจัย คอลลาเจน UC-II ขมิ้นชัน งาดำ และวิตามิน

ซื้อผ่าน HD ประหยัดกว่า / ราคาพิเศษสำหรับ นศ. / ผ่อน 0% / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

เนื่องจากคอลลาเจนที่เป็นส่วนผสมมีโมเลกุลใหญ่เกินไป เป็นเหตุให้ร่างกายไม่ปล่อยให้คอลลาเจนเหล่านั้นผ่านชั้นผิวหนังเข้าไป ดังนั้น การบริโภคอาหารเสริมที่ช่วยส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนทดแทน น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า 

อาหารที่มีส่วนช่วยในการผลิตคอลลาเจนทดแทน

  • ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง (Soy Bean) เช่น นมถั่วเหลือง โดยผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากถั่วเหลืองจะมีเจนีสทีน (Genistein) เป็นองค์ประกอบ ช่วยให้เกิดการผลิตคอลลาเจน และป้องกันเอนไซม์ที่ทำลายผิว

  • ผักสีเขียวเข้ม เช่น ผักโขม (Spinach) กะหล่ำปลี (Cabbage) และผักคะน้า (Kale) ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า ลูทีน (Lutien) เป็นส่วนประกอบ ผักเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความสามารถของร่างกายในการผลิตคอลลาเจน และก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากโปรตีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • สารต้านอนุมูลอิสระ พบได้ในหัวผักกาด (Beets) พริกแดง (Red Peppers) บลูเบอร์รี่ (Blueberries) พรุน (Prunes) ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและช่วยเสริมสร้างการผลิตคอลลาเจน

  • ผลไม้สีแดงและผัก ในผักประเภทนี้จะมี ไลโคปีน (Lycopene) เป็นองค์ประกอบ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและยังส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนอีกด้วย

  • วิตามินซี (Vitamin C) ที่อยู่ในผักและผลไม้ ทำให้ร่างกายสร้างและดูดซึมคอลลาเจนได้เป็นอย่างดี จึงควรรับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น เช่น ส้ม มะนาว และสตรอเบอรรี่

  • กรดโอเมก้า (Omega Acid) พบได้ใน ปลาแซลม่อน ปลาทูน่า ถั่วอัลมอนด์ และอะโวคาโด เนื่องจากผิวหนังของมนุษย์จะประกอบด้วยโปรตีนกรดโอเมก้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อผิวพรรณ

  • วิตามินอี (Vitamin E) เป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องผิวจากสองปัจจัยที่ทำให้คอลลาเจนสลาย ได้แก่ แสงแดด และอนุมูลอิสระ ซึ่งวิตามินอี จะช่วยให้ริ้วรอยลดลง เพิ่มความอ่อนนุ่ม และเรียบเนียนให้กับผิว โดยอาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินอี ได้แก่ ข้าวโพด ผักโขม จมูกข้าวสาลี และมะกอก

  • วิตามินเอ (Vitamin A) มีเรติน-เอ (Retine-a) ที่ช่วยในการปรับสีผม ขจัดผิวที่แห้ง รักษาความอ่อนเยาว์ และทำให้ผิวดูกระชับขึ้น สำหรับอาหารที่เป็นแหล่งวิตามินเอ ได้แก่ แครอท นม เนื้อ ปลา เนยแข็ง ไข่ และตับ

  • ทองแดง นับว่าเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์คอลลาเจน แต่เนื่องจากทองแดง คือ โลหะเป็นพิษ จึงควรรับทองแดงที่เป็นส่วนประกอบในอาหาร เช่น น้ำอ้อย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วเขียว มะเขือเทศ มันฝรั่ง และผักคะน้า

  • ไลซีน (Lysine) และโพรลีน (Proline) คือ กรดอะมิโนที่เป็นองค์ประกอบของคอลลาเจน โดยที่โพรลีนเป็นกรดอะมิโนที่ไม่จำเป็น และร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้จึงต้องรับจากอาหารเท่านั้น ได้แก่ นม เนื้อวัว เนื้อไก่ เนื้อหมู และปลา

สมุนไพรที่ช่วยการผลิตคอลลาเจน

นอกจากอาหารที่ช่วยส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนแล้ว ยังมีสมุนไพรที่ช่วยส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนอีกด้วย ได้แก่

  • ว่านหางจระเข้ (Aloe) มีส่วนในการรักษาบาดแผลโดยการเพิ่มการผลิตคอลลาเจน

  • บิลเบอร์รี่ (Bilberry) มีสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยให้คอลลาเจนคงตัว

  • ดาวเรือง (Calendula) นักวิจัยเชื่อว่าครีมดาวเรืองจะช่วยรักษาแผลและช่วยให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนได้

  • หญ้าหางม้า (Horsetail) มีซิลิกา (Silica) เป็นองค์ประกอบซึ่งเป็นสารที่ร่างกายต้องการเพื่อผลิตคอลลาเจนและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ

  • น้ำเต้า (Bottle gourd) มีสารไฟโตเอสโทรเจน (Phytoestrogens) ที่ช่วยป้องกันริ้วรอย อีกทั้งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วย

  • กวาวเครือขาว มีสารกลุ่มไฟโตเอสโทรเจน (Phytoestrogens) และโครมีน (Chromene) ที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน จากงานวิจัยพบว่า ไฟโตเอสโทรเจนและเอสโตรเจนจะช่วยเพิ่มการสร้างคอลลาเจนที่ชั้นหนังแท้ได้ทั้งในเพศชาย และเพศหญิง

ความต้องการคอลลาเจนของร่างกาย

สำหรับคอลลาเจนที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดจะมีปริมาณที่แตกต่างกันออกไป โดยร่างกายของเราต้องการคอลลาเจน 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะได้รับคอลลาเจนอย่างเพียงต่อวันด้วยการรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว

หากต้องเลือกประเภทคอลลาเจนในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ควรพิจารณาผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการยอมรับจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) 

หากไม่แน่ใจในเรื่องของปริมาณการรับประทาน ความเหมาะสม และความปลอดภัย ควรปรึกษาแพทย์ หรือนักกำหนดอาหารที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ เพื่อการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย 

เนื่องจากคอลลาเจนนั้นเป็นสารสกัดที่ได้มากจากพืช และสัตว์ จึงอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือในบางรายอาจมีอาการแพ้รุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้

รับประทานคอลลาเจนอย่างไรให้ได้ประโยชน์มากที่สุด

  • ดื่มน้ำมากๆ คอลลาเจนนั้นต้องการ การละลายในการดูดซึมเข้าร่างกาย หากร่างกายได้รับน้ำในปริมาณที่ไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะไม่สามารถดูดซึมคอลลาเจนไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้

  • รับประทานวิตามินซี เพราะมีส่วนช่วยในการดูดซึมคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกาย เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด เราจึงควรบริโภคคอลลาเจนควบคู่กับอาหารที่มี วิตามินซีสูง

  • รับประทานขณะท้องว่าง มีงานวิจัยระบุไว้ว่า การเลือกบริโภคคอลลาเจนชนิดเม็ด หรือชนิดน้ำนั้น ควรรับประทานในช่วงเช้าขณะที่ท้องว่าง หรือก่อนรับประทานอาหารเช้า 30 นาที เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมคอลลาเจนที่ดียิ่งขึ้น

อันตรายจากการฉีดคอลลาเจน

ปัจจุบันการเติมคอลลาเจนให้กับผิวกำลังได้รับความนิยม โดยเฉพาะในคนที่อยากได้ผิวขาวเปล่งปลั่ง ทำให้การ "ฉีด" คอลลาเจน กลายเป็นค่านิยมแบบผิดๆ ที่เสี่ยงอันตรายต่อร่างกายของเราได้จนถึงขั้นเสียชีวิต

เพราะคอลลาเจนเป็นโปรตีนที่อยู่ในรูปของไฟเบอร์ หากฉีดเข้าสู่เส้นเลือด หรือเส้นประสาท จะมีความเสี่ยงที่เกิดการอุดตัน ทำให้เลือดไม่สามารถส่งผ่านไปเลี้ยงสมองได้  

ความจริงแล้ว คอลลาเจนไม่เคยได้รับการอนุญาติให้ขึ้นทะเบียนตำรับยาแต่อย่างใด และไม่ได้รับรองความปลอดภัยในการนำไปใช้ ซึ่งอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดคอลลาเจนได้ คือ

  • เกิดความเสี่ยงต่อการแพ้สารคอลลาเจน อาจเกิดจากในตัวยาฉีดประกอบไปด้วยสารชนิดอื่นร่วมด้วย ทำให้ร่างกายมองคอลลาเจนเป็นสารแปลกปลอม ถึงแม้จะมีการสังเคราะห์โครงสร้างให้มีความใกล้เคียงกับคอลลาเจนใต้ชั้นผิวแล้วก็ตาม

    แต่การแพ้ก็สามารถเกิดขึ้นได้ โดยไม่มีการบอกกล่าวอาการให้ทราบล่วงหน้า และระดับความรุนแรงของอาการแพ้ก็ขึ้นอยู่กับบุคคล ซึ่งผลของอาการแพ้อาจเกิดขึ้นในทันทีหลังฉีด หรือภายหลังจากนั้นเป็นสัปดาห์ไปแล้วก็ได้

  • ปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดการช้ำ เรียกว่า "Trauma" เป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการฉีด ปลายเข็มที่ดันเอาสารคอลลาเจนเข้าไป

    ในบริเวณดังกล่าวจะเกิดเป็นรอยแดง หรือรอยเขียวช้ำ เกิดอาการเจ็บ แสบ และบวมตามมาได้ แต่โดยทั่วไปจะสามารถหายไปได้เองภายใน 3 - 7 วัน

  • การเกิดตุ่มนูนบริเวณผิว จนทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน เกิดขึ้นได้จากการที่ผู้ฉีดไม่มีความเชี่ยวชาญมากพอ อาจจะฉีดในตำแหน่งที่ตื้นมากเกินไป หรือใช้ความเข้มข้นของคอลลาเจนมากเกินไป ซึ่งผิวที่เป็นตุ่มนูนเสี่ยงต่อการติดเชื้อ อักเสบ และลุกลามเข้าสู่กระแสเลือดตามมาได้

เป็นยังไงกันบ้างสำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับคอลลาเจนที่นำมาฝากกัน จะเห็นได้ว่า คอลลาเจนเป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุง และฟื้นฟูผิวให้กลับมาแลดูอ่อนเยาว์ได้อีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม หากใครเลือกที่จะบริโภคแล้วก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัย แนะให้ไปปรึกษาแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนรับประทาน

ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจเหล่านี้ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


3 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
ฐานเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, กวาวเครือขาว (http://www.thaicrudedrug.com/main.php?action=viewpage&pid=15)
จารุวรรณ์ วงบุตดี และคณะ, การศึกษาฤทธิ์เอสโตรเจนจากสมุนไพรพื้นบ้านในเขตจังหวัดอุบลราชธานีที่มีฤทธิ์ต่อการทำงานของเนื้อเยื่อ ที่อาศัยฮอร์โมนเอสโตรเจน (https://pharm.kku.ac.th/isan-journal/journal/volumn8-no1/ijps8v1/006-Wongbutdee_J_Page_34-39.pdf)
Stevenson S, and Thornton J. Effect of estrogens on skin aging and the potential role of SERMs. Journal of Clinical Interventions in Aging. 2007;2(3):283–297.

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป