กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD
ทีมแพทย์ HD
ตรวจสอบความถูกต้องโดย
ทีมแพทย์ HD

ประโยชน์ของเม็ดมะม่วงหิมพานต์ต่อสุขภาพ

ดีต่อใจ ดีต่อตา ควบคุมน้ำตาลและน้ำหนักได้ แถมยังชะลอวัยด้วย
เผยแพร่ครั้งแรก 16 ต.ค. 2018 อัปเดตล่าสุด 5 ก.พ. 2021 ตรวจสอบความถูกต้อง 19 เม.ย. 2019 เวลาอ่านประมาณ 4 นาที
ประโยชน์ของเม็ดมะม่วงหิมพานต์ต่อสุขภาพ

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • เม็ดมะม่วงหิมพานต์ อุดมไปด้วยไขมันดี วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกาย
  • เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 100 กรัม ให้พลัง 553 กิโลแคลอรี่ และมีไขมันถึง 43.85 กรัม
  • การรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นประจำวันละ 1 กำมือ จะช่วยลดระดับไขมันเลว และคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยชะลอวัย ป้องกันโรคเบาหวาน ควบคุมน้ำหนักตัว และมีส่วนช่วยในการมองเห็น
  • บุคคลที่ต้องระมัดระวังการบริโภคเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร ผู้มีอาการแพ้ถั่ว ผู้ป่วยโรคเบาหวาน และผู้ที่เข้ารับการผ่าตัด
  • ถั่ว เป็นหนึ่งในอาหารที่เป็นสาเหตุหลักของโรคแพ้อาหาร หากรับประทานแล้วเกิดอาการผื่นคัน หายใจลำบาก แน่นหน้าอก ลมพิษ หรือกลืนลำบาก นั่นหมายถึงอาการแพ้รุนแรง ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที (ดูแพ็กเกจตรวจภูมิแพ้อาหารได้ที่นี่)

เม็ดมะม่วงหิมพานต์ คือถั่วชนิดหนึ่งที่มีรสชาติหวาน มัน และยังเป็นแหล่งของวิตามิน และเกลือแร่

ผู้คนนิยมนำเม็ดมะม่วงหิมพานต์ดิบที่ไม่ผสมเกลือไปประกอบอาหารแบบวีแกน หรืออาหารอินเดีย และก็มีอีกหลายคนที่นิยมรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์คั่วผสมเกลือเป็นของกินเล่น

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

รู้จักกับเม็ดมะม่วงหิมพานต์

เม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นหนึ่งในถั่วที่มีเส้นใยอาหารต่ำ แต่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ

ประกอบด้วยวิตามินอี วิตามินเค วิตามินบี 6 ทองแดง ฟอสฟอรัส สังกะสี แมกนีเซียม เหล็ก และซีลีเนียม ซึ่งล้วนแต่สำคัญต่อการทำงานของร่างกาย

เม็ดมะม่วงหิมพานต์ให้พลังงานเท่าไหร่?

เม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นแหล่งพลังงานสูง ในขนาด 100 กรัม ประกอบด้วย พลังงาน 553 กิโลแคลอรี่ มีไขมัน 43.85 กรัม 

ถือแม้เม็ดมะม่วงหิมพานต์จะมีปริมาณไขมันมาก แต่ก็เป็นไขมันดี หากรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น ลดระดับไขมันเลว และคอเลสเตอรอลในเลือด มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการชะลอวัย 

ประโยชน์ของเม็ดมะม่วงหิมพานต์

1. ระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจ 

งานวิจัยพบว่า การรับประทานถั่ว เช่น เม็ดมะม่วงหิมพานต์ สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ซึ่งอาจเกิดผ่านการลดความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

ถั่วนั้นเป็นอาหารที่ไม่มีคอเลสเตอรอลตามธรรมชาติ และมีไขมันชนิดที่ดีต่อหัวใจ เส้นใยอาหาร และโปรตีน นอกจากนั้นยังมีอาร์จินีน (Arginine) ซึ่งช่วยป้องกันเยื่อบุด้านในของผนังเส้นเลือดแดงด้วย 

วิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ ที่พบในถั่ว เช่น โพแทสเซียม วิตามินอี วิตามินบี 6 และกรดโฟลิกนั้นก็สามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจได้เช่นกัน อีกทั้งยังสามารถช่วยบำรุงเลือดได้ 

ทองแดง และเหล็กในเม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้นทำงานร่วมกันในการช่วยให้ร่างกายสร้าง และใช้งานเม็ดเลือดแดง ซึ่งจะช่วยให้เส้นเลือด เส้นประสาท ระบบภูมิคุ้มกัน และกระดูก แข็งแรง ทำงานเป็นปกติ

2. การมองเห็น 

เราอาจจะเคยได้ยินว่า แครอทนั้นดีต่อดวงตา แต่อาจจะแปลกใจที่พบว่า เม็ดมะม่วงหิมพานต์ก็เช่นกัน

โดยในเม็ดมะม่วงหิมพานต์นี้มีลูเทอิน (lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หากรับประทานสม่ำเสมอในปริมาณที่สูง สารเหล่านี้จะช่วยป้องกันการทำลายดวงตาจากแสง (ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการตาบอดในผู้สูงอายุ) และอาจจะช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคต้อกระจกได้

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

3. การควบคุมน้ำหนัก 

งานวิจัยหนึ่งพบว่า การรับประทานถั่ว 1 กำมือต่อวัน สามารถช่วยต่อสู่กับโรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน และมะเร็งได้

การเปลี่ยนจากการรับประทานไขมันจากสัตว์ และโปรตีน มาเป็นไขมันชนิดที่ไม่อิ่มตัวที่พบในเม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้นเป็นวิธีที่ดีในการควบคุมน้ำหนัก ลดไขมันและคอเลสเตอรอลที่อยู่ภายในร่างกาย

4. ต้านโรคเบาหวาน 

สารสกัดจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์มีประสิทธิภาพในการต้านโรคเบาหวาน

โดยสามารถกระตุ้นให้เกิดการลำเลียงน้ำตาลเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น มีผลควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และป้องกันภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance)

5. ชะลอวัย 

ยอดมะม่วงหิมพานต์มีประสิทธิภาพในการต้านสารอนุมูลอิสระสูงมาก มีค่า ORAC (Oxygen Radical Absorbance Capacity) เป็นค่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของอาหาร สูงถึง 7,278 ไมโครโมลทีอี

จึงช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลาย และชะลอความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของความแก่ได้

การบริโภคเม็ดมะม่วงหิมพานต์อย่างปลอดภัย

เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีสารอาหารหลายชนิด แต่ก็ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม และระมัดระวังในการบริโภคสารปรุงแต่งที่เพิ่มลงไปในผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดด้วย เช่น เกลือ เนย หรือน้ำตาล 

นอกจากนี้การสัมผัสกับเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ไม่ผ่านความร้อน หรือการปรุงสุกมาก่อน ยังอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนังได้ 

ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนรับประทานอาหาร อาหารเสริม หรือสารใดๆ จากเม็ดมะม่วงหิมพานต์เสมอ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค 

และยังสามารถรับประทานก่อนอาหารไม่เกินครั้งละ 10 เม็ดเพื่อช่วยให้อิ่มง่ายขึ้น หรือรับประทานเป็นขนมได้ประมาณสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อลดการรับประทานขนมอื่นๆ ที่มีส่วนผสมไขมัน นม เนย น้ำตาล แป้งที่เยอะเกินไป

ใครบ้างที่ต้องระมัดระวังการบริโภคเม็ดมะม่วงหิมพานต์

ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ควรเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษในการบริโภคเม็ดมะม่วงหิมพานต์ โดยเฉพาะบุคคลในกลุ่มต่อไปนี้

1. หญิงตั้งครรภ์ หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร 

การรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์จากอาหารมีความปลอดภัย แต่ไม่ควรรับประทานในปริมาณมากเพื่อหวังผลทางการรักษาโรค เนื่องจากไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยที่เพียงพอ

2. ผู้ที่แพ้ถั่ว หรือสารเพคติน (Pectin) 

ผู้ที่แพ้เพคตินซึ่งเป็นสารที่อยู่ในพืช รวมทั้งถั่วและเมล็ดพืชบางชนิด เช่น พิสตาชิโอ อัลมอนด์ ฮาเซลนัท ถั่วลิสง  อาจแพ้เม็ดมะม่วงหิมพานต์ได้เช่นกัน

ดังนั้นผู้ที่มีประวัติอาการแพ้ดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานเสมอ

3. ผู้ป่วยเบาหวาน 

เม็ดมะม่วงหิมพานต์อาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลเพิ่มสูงขึ้น ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่รับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์ควรหมั่นตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ และแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนบริโภคเสมอ เนื่องจากผู้ป่วยอาจต้องปรับเปลี่ยนการใช้ยารักษา

4. ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัด
เนื่องจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ 

ดังนั้นผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดควรหยุดรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนวันผ่าตัด

การรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้นเชื่อมโยงกับการป้องกันมะเร็ง ช่วยเรื่องสุขภาพของหัวใจ การคุมน้ำหนัก และสามารถนำมารับประทานแทนไขมัน และโปรตีนจากสัตว์ได้ดี นอกจากนั้นยังมีรสชาติดี เหมาะเป็นของกินเล่น

อย่างไรก็ตาม เม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นหนึ่งในอาหารที่เป็นสาเหตุหลักของโรคแพ้อาหาร หากรับประทานแล้วเกิดอาการผื่นคัน หายใจลำบาก แน่นหน้าอก ลมพิษ หรือกลืนลำบาก นั่นหมายถึงอาการแพ้รุนแรง ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที

ดูแพ็กเกจตรวจภูมิแพ้อาหาร เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจเหล่านี้ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


1 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
รศ.พญ.ปรียานุช แย้มวงษ์ (มหาวิทยาลัยมหิดล), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป