July 23, 2019 20:32
ตอบโดย
กอบศักดิ์ ชัยชะแตง (นพ.)
หากมั่นใจว่าประจำเดือนนั้นเป็นประจำเดือนจริงไม่ใช่ผลข้างเคียงของยาคุม ควรตรวจการตั้งครรภ์ภายหลังมีเพศสัมพันธ์ประมาณ14วัน เพื่อดูว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่ และควรทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินภายใน120ชั่วโมงภายหลังมีความเสี่ยงกรณีที่ไม่มั่นใจว่าเป็นประจำเดือนตามธรรมชาติหรือผลข้างเคียงยาคุมฉุกเฉินก่อนหน้านี้
-หากเป็นประจำเดือนจริง ลักษณะสี ปริมาณเหมือนประจำเดือนและมีเพศสัมำันธ์ในช่วงที่มีประจำเดือนซึ่งไม่มีการตกไข่ก้ไม่ตั้งครรภ์ครับ
-หากเป็นผลข้างเคียงจากยาคุมฉุกเฉินก่อนหน้านี้ และมีประจำเดือนกระปริดกระปรอยนั้นและมีเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกันอีกก้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ครับ กรณีนี้จึงควรทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินอีกครั้งเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พุงประสงค์โดยยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ประมาณ80%ครับ
และควรตรวจการตั้งครรภ์ภายหลังมีความเสี่ยง14วัน นับตั้งแต่ครั้งแรกที่มีความเสี่ยงเพื่อดูว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่ และให้สังเกตประจำเดือนในรอบถัดไปครับ หากมาช้ากว่าปกติเกิน7วัน สามารถตรวจการตั้งครรภ์ซ้ำเพื่อยืนยันการว่ามีการตัง้ครรภ์หรือไม่ครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ตอบโดย
กันตณัฏฐ์
อยู่ตรีรักษ์ (แพทย์ทั่วไป)
(นพ.)
General physician
สวัสดีครับ
การรับประทานยาคุมฉุกเฉินนั้นไม่ได้มีข้อห้ามว่าห้ามรับประทานยาติดต่อกันเกินกี่ครั้งครับ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องรับประทานยาคุมฉุกเฉินเนื่องจากถุงยางอนามัยมีการฉีกขาดก็สามารถรับประทานยาคุมฉุกเฉินเพิ่มได้ครับ
เพียงแต่ว่าการรับประทานยาคุมฉุกเฉินนั้นไม่ใช่การป้องกันการตั้งครรภ์ที่มีประสิทธิภาพสูง หลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินไปแล้วจะช่วยลดโอกาสตั้งครรภ์ลงได้ 75-85% เท่านั้น หลังจากนี้ถ้าหากจะมีเพศสัมพันธ์อีกหมอก็แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยอย่างระมัดระวังมากขึ้นเพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลับมารับประทานยาคุมฉุกเฉินอีกครับ
และหลังจากนี้หมอก็แนะนำให้รอสังเกตดูว่าประจำเดือนจะมาตามปกติหรือไม่ ถ้าหากประจำเดือนขาดหายไปนานก็ให้ลองตรวจการตั้งครรภ์ยืนยันดู โดยให้ตรวจห่างจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 14 วันและใช้ปัสสาวะแรกหลังตื่นนอนตอนเช้าในการตรวจ ก็จะให้ผลตรวจที่เชื่อถือได้ 97-99% ครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ตอบโดย
จินตนา แสงโพธิ์ (เภสัชกร)
เลือดที่ออกมาครั้งล่าสุดไม่ใช่ "ประจำเดือน" นะคะ แต่เป็น "ผลข้างเคียง" จากยาคุมฉุกเฉินค่ะ
หากไม่มีการตั้งครรภ์ ผู้ใช้ยาคุมฉุกเฉินส่วนใหญ่จะมีประจำเดือนมาตรงตามรอบปกติ หรือคลาดเคลื่อนเพียงไม่กี่วันค่ะ ซึ่งประจำเดือนปกติก็ควรจะมีปริมาณมากจนชุ่มผ้าอนามัย 2 - 3 แผ่น/วัน และมาต่อเนื่องกัน 3 - 7 วันนะคะ
ส่วนผลข้างเคียงจากยา เป็นหยดเลือดซึมหรือเลือดกะปริบกะปรอยค่ะ อาจพบภายใน 7 วันหลังรับประทาน หรืออาจไม่พบเลยก็ได้ แต่ไม่ได้สำคัญอะไร และไม่ได้บ่งชี้ว่าจะตั้งครรภ์หรือไม่
การที่ผู้ถามมีเลือดกะปริบกะปรอยที่เป็นผลข้างเคียงจากยา ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะมีการตั้งครรภ์หรือไม่นะคะ ต้องรอดูต่อไปว่าจะมีประจำเดือนมาตามรอบปกติหรือเปล่า
และหากมีปัญหาถุงยางรั่วซึมอีก ก็จำเป็นจะต้องรับประทานยาคุมฉุกเฉินโดยเร็วที่สุดที่ทำได้ ยิ่งเร็วยิ่งดี อย่างช้าไม่เกิน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวให้น้อยลงค่ะ ไม่ต้องกังวลกับการรับประทานในขณะที่มีเลือดกะปริบกะปรอยดังกล่าวนะคะ
อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินไม่ได้สูงมาก แม้จะใช้ครบขนาดและทันเวลาก็ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 15 - 25% ค่ะ ดังนั้น แนะนำให้งดมีเพศสัมพันธ์ไปก่อน แล้วรอดูว่าจะมีประจำเดือนมาตามรอบปกติหรือไม่นะคะ (ไม่ต้องสนใจว่าจะมีเลือดที่เป็นผลข้างเคียงจากยาหรือเปล่าค่ะ)
ถ้าไม่มีประจำเดือนมา หรือถ้ากังวลว่าจะตั้งครรภ์ สามารถตรวจการตั้งครรภ์ด้วยชุดทดสอบทางปัสสาวะ ในตอนเช้าหลังตื่นนอน ห่างจากวันที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดอย่างน้อย 14 วันนะคะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ตอบโดย
คัคนานต์
เทียนไชย
(พญ.)
อายุรกรรม
สวัสดีค่ะ หมอขออธิบายถึงยาคุมฉุกเฉินเพิ่มเติมค่ะ ผลิตภัณฑ์ยาคุมฉุกเฉินที่จำหน่ายในประเทศไทย จำหน่ายเป็นกล่อง มียากล่องละ 1 แผง และแต่ละแผงมียาคุมฉุกเฉิน 2 เม็ด แต่ละเม็ดประกอบด้วยตัวยาที่เป็นฮอร์โมนขนาดสูง คือ ลีโวนอร์เจสเตรล (levonorgestrel) เม็ดละ 750 ไมโครกรัม การรับประทานยาที่ถูกต้องคือ รับประทานยาเม็ดแรกให้เร็วที่สุดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน โดยไม่ควรเกิน 72 ชั่วโมง และจะต้องรับประทานยาเม็ดที่สองหลังจากรับประทานยาเม็ดแรกไม่เกิน 12 ชั่วโมง หากมีการอาเจียนภายใน 2 ชั่วโมงหลังรับประทานยาแต่ละเม็ด ต้องรับประทานยาใหม่ และไม่แนะนำให้รับประทานยาเกิน 4 เม็ด หรือ 2กล่อง ต่อเดือน
การรับประทานยาเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ดังกล่าวตามด้วยยาเม็ดที่สอง จะให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 75% แต่หากเริ่มยาภายใน 24ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ จะให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นเป็น 85% ดังนั้นจึงควรรับประทานยาเม็ดแรกหลังการมีเพศสัมพันธ์ให้เร็วที่สุด
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ตอบโดย
ศุภลักษณ์ แซ่จัง (พว.)
สวัสดีค่ะ ยาคุมฉุกเฉินไม่ได้เป็นยาเร่งให้ประจำเดือนมาค่ะหลังทานยาคุมฉุกเฉินประจำเดือนมักจะมาตามรอบปกติที่เคยมา การทานยาคุมฉุกเฉินมีผลข้างเคียงทำให้เลือดออกกระปริดกระปรอยได้หลังทานไปประมาณ 7 วัน แต่หากเลือดที่ออก มีลักษณะชุ่มเต็มผ้าอนามัย มีลักษณะคล้ายประจำเดือนปกติ นั่นแสดงว่าการมีเพศสัมพันธ์เมื่ออาทิตย์ที่แล้วไม่มีการตั้งครรภ์ค่ะ แต่หลังจากนั้น มีเพศสัมพันธ์อีกครั้ง ตอนมีเลือดออกวันแรก และถุงยางอนามัยรั่ว ถือว่ามีโอกาสตั้งครรภ์ได้ค่ะ การทานยาคุมฉุกเฉินเป็นวิธีที่ถูกต้องค่ะ การทานยาคุมฉุกเฉินภายใน 72 ชั่วโมงแรกสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 80-85 เปอร์เซนต์ ยังมีโอกาสอีก 15-20 เปอร์เซนต์ที่จะตั้งครรภ์ได้ ดังนั้นแนะนำว่าให้รอให้ประจำเดือนรอบหน้ามา จึงจะถือว่าไม่มีการตั้งครรภ์ หรือหากต้องการตรวจครรภ์สามารถตรวจได้หลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดอย่างน้อย 14 วันเป็นต้นไปค่ะ และหากต้องการมีเพศสัมพันธ์อีกแนะนำให้สวมถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องและถูกวิธีค่ะป้องกันการขาดและรั่วอีกค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ตอบโดย
จินตนา แสงโพธิ์ (เภสัชกร)
ขอเสริมเกี่ยวกับวิธีการใช้ยาคุมฉุกเฉินเพื่อให้ผู้อ่านทราบแนวทางที่เป็นปัจจุบันนะคะ
ยาคุมฉุกเฉินที่มีจำหน่ายในประเทศไทยในปัจจุบัน มี 2 รูปแบบค่ะ ได้แก่
1. ยี่ห้อที่มีแผงละ 2 เม็ด ได้แก่ โพสตินอร์, มาดอนนา, แมรี่พิงค์, นอร์แพ็ก และเลดี้นอร์ โดยแต่ละเม็ดจะมีตัวยาลีโวนอร์เจสเทรลเม็ดละ 0.75 มิลลิกรัม (รวม 2 เม็ดก็จะเป็น 1.5 มิลลิกรัม)
2. ยี่ห้อที่มีแผงละ 1 เม็ด ได้แก่ เมเปิ้ลฟอร์ท และแทนซีวัน โดยจะมีตัวยาลีโวนอร์เจสเทรลเม็ดละ 1.5 มิลลิกรัม
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดหรือยี่ห้อใด ก็จะมีตัวยาฮอร์โมนชนิดเดียวกัน และมีปริมาณยารวมทั้งแผงเท่ากันนั่นเองนะคะ เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็เหมือน "เหรียญ 1 บาท จำนวน 2 เหรียญ" กับ "เหรียญ 2 บาท จำนวน 1 เหรียญ" นั่นเองค่ะ
..
..
ส่วนวิธีการรับประทาน มี 2 วิธี ได้แก่...
1. วิธีดั้งเดิม รับประทานครั้งละ 0.75 มิลลิกรัม 2 ครั้ง ห่างกัน 12 ชั่วโมง นั่นคือ ให้ใช้ยาคุมฉุกเฉินยี่ห้อที่มีแผงละ 2 เม็ด แล้วรับประทานครั้งละ 1 เม็ด แยกเป็น 2 ครั้ง ห่างกัน 12 ชั่วโมง
2. วิธีใหม่ รับประทานครั้งละ 1.5 มิลลิกรัมครั้งเดียว นั่นคือ ถ้าใช้ยาคุมฉุกเฉินยี่ห้อที่มีแผงละ 2 เม็ด ก็รับประทาน 2 เม็ดพร้อมกันในครั้งเดียว แต่ถ้าใช้ยี่ห้อที่มีแผงละ 1 เม็ด ก็รับประทานเม็ดเดียวครั้งเดียวค่ะ
ไม่ว่าจะใช้วิธีใด ให้รับประทานเร็วที่สุดที่ทำได้ ยิ่งเร็วยิ่งดีนะคะ อย่างช้าไม่เกิน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์
ซึ่งในอดีต จะแนะนำว่าต้องใช้ยาคุมฉุกเฉินภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ แต่การศึกษาต่อมาชี้ว่าแม้จะไม่ทัน 72 ชั่วโมง ก็ยังสามารถใช้ได้ ถ้าไม่เกิน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ค่ะ
อย่างไรก็ตาม การใช้ภายใน 72 ชั่วโมงแรก มีประสิทธิภาพดีกว่า 72 - 120 ชั่วโมงนะคะ
ส่วนประสิทธิภาพและผลข้างเคียง มีผลการศึกษาที่ชี้ว่าไม่แตกต่างกันไม่ว่าจะใช้วิธีดั้งเดิมหรือวิธีใหม่ค่ะ
อย่างไรก็ตาม การศึกษาใหม่ ๆ ชี้ว่า การใช้แบบครบขนาดในครั้งเดียว มีแนวโน้มจะมีประสิทธิภาพดีกว่าการแยกรับประทาน อีกทั้งยังสะดวกในการใช้ ไม่ต้องกังวลว่าจะลืมรับประทานครั้งที่สอง
ดังนั้น ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ยาคุมฉุกเฉิน แนะนำให้รับประทานแบบครบขนาดในครั้งเดียวไปเลยนะคะ
..
..
ส่วนคำแนะนำเรื่อง "ห้ามใช้ยาคุมฉุกเฉินเกินเดือนละ 2 กล่อง" เป็นคำแนะนำที่เคยใช้ในอดีต เพราะกังวลว่ายาคุมฉุกเฉินอาจทำให้เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูกค่ะ
แต่ต่อมาก็สรุปได้ว่าการใช้ยาคุมฉุกเฉินชนิดตัวยาลีโวนอร์เจสเทรลไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงในการตั้งครรภ์นอกมดลูก เนื่องจากมีข้อมูลจากการศึกษาที่เชื่อถือได้จำนวนมากที่ชี้ว่า อุบัติการณ์การตั้งครรภ์นอกมดลูกในผู้ที่ใช้ยาคุมฉุกเฉิน ไม่แตกต่างจากผู้ที่ไม่เคยใช้
ในปัจจุบัน จึงไม่เห็นคำเตือนดังกล่าวที่กล่องยาอีกแล้วนะคะ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพบว่ายังมีการส่งต่อข้อมูลเก่าที่ไม่ถูกต้องอยู่เรื่อย ๆ รวมถึงอาจมีข้อกังวลเพิ่มเติมไปอีกว่าการใช้ยาคุมฉุกเฉินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีขนาดสูง จะทำให้เกิดปัญหาการมีบุตรยากในอนาคต หรือทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่าง ๆ ตามมาหรือเปล่า
ไม่ว่าจะด้วยความไม่รู้ หรือไม่ได้ตามข้อมูลใหม่ หรือด้วยความปรารถนาดีที่ไม่อยากใช้ยาคุมฉุกเฉินพร่ำเพรื่อ แต่ก็ส่งผลให้ผู้ที่จำเป็นต้องใช้ เกิดความกังวลในผลที่ตามมาจนไม่กล้าจะใช้ยา และเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมได้ค่ะ
ในปี ค.ศ. 2010 องค์การอนามัยโลก จึงได้เผยแพร่เอกสารวิชาการ โดยชี้แจงถึงประเด็นที่เป็นข้อสงสัยหรือมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยสรุปได้ว่า ยาคุมฉุกเฉินชนิดตัวยาลีโวนอร์เจสเทรล ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงของการตั้งครรภ์นอกมดลูก รวมถึงไม่ได้ทำให้เกิดผลเสียที่รุนแรงหรือถาวรใด ๆ ต่อให้รับประทานเกินขนาดที่แนะนำ หรือมีการใช้ซ้ำ ๆ ในรอบเดือนเดียวกัน
อีกทั้ง มีไม่ถึง 1 ใน 5 ของผู้ใช้ที่เกิดผลข้างเคียงจากยา ซึ่งก็เป็นเพียงอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ และเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ เช่น ประจำเดือนไม่ปกติ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ ปวดท้อง หรือไม่สบายท้อง
ดังนั้น แม้จะมีการใช้ไปแล้ว แต่ถ้าจำเป็น ก็สามารถใช้ซ้ำได้อีกโดยไม่ได้จำกัดปริมาณค่ะ
..
..
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความปลอดภัย แต่ก็ไม่แนะนำให้ใช้ยาคุมฉุกเฉินบ่อย ๆ อยู่ดีนะคะ เพราะประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินต่ำกว่าวิธีคุมกำเนิดปกติ แม้จะรับประทานยาคุมฉุกเฉินครบขนาดและทันเวลา ก็ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 15 - 25%
จึงควรใช้ในกรณีที่ "ฉุกเฉิน" เช่น ถูกข่มขืน (เหยื่อไม่สามารถจะป้องกันโดยคุมกำเนิดไว้ล่วงหน้าได้) หรือเมื่อเกิดความผิดพลาดจากวิธีคุมกำเนิดปกติ เช่น ถุงยางฉีกขาด, ลืมรับประทานยาคุมรายเดือนต่อเนื่อง หรือลืมไปฉีดยาคุมตามนัด เป็นต้นค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
เรื่องมีอยู่ว่าเมื่ออาทิตก่อนค่ะพึ่งหายเป็นประจำเดือนแล้วมีอะไรกับแฟนแล้วระหว่างมีอะไรกันแล้วแฟนรู้สึกแปลกๆกับถุงยางเลยเปลี่ยน แล้วแฟนกลัวมือเปื่อนน้ำอสุจิเลยให้ดิฉันกินยาคุมฉุกเฉิน หลังจากกินยาคุมฉุกเฉินนั้นผ่านมา7วัน ฉันก็มีประจำเดือนที่น่าจะเกิดจากการกินยาคุม พอเป็นวันแรกแฟนก็มามีอะไรกับเราแล้วถุงยางรั่วทำให้หลั่งในเลยไปซื้อยาคุมฉุกเฉินกินอีก อยากทราบว่าจะเป็นอะไรไหมคะเพราะกินยาคุมฉุกเฉินตอนมีประจำเดือนที่เกิดจากการกินยาก่อนหน้านี้ แล้วมีโอกาศท้องมากไหมคะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)