January 03, 2019 09:29
ตอบโดย
ศิรินทิพย์ ผอมน้อย (นักจิตวิทยาคลินิก)
การรักษาอาจต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน อย่าเพิ่งเบื่อหรือท้อแท้กับการทานยาเลยนะคะ
แนะนำนะคะ ในระหว่างรับการรักษา ควรทานยาสม่ำเสมอ ไปพบแพทย์ตามนัด หากมีอาการผิดปกติสามารถไปพบแพทย์ก่อนนัดได้ ให้คุณหมอปรับยาจนกว่าอาการจะดีขึ้น และไม่ควรปรับยาเอง หรือหยุดยาเองอย่างกะทันหันนะคะ นอกจากนั้นควรปรับพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การออกกำลังกายเป็นประจำ การฝึกผ่อนคลายความตึงเครียด หลีกเลี่ยงจากสารกระตุ้นหรือสารเสพติดทุกชนิด ก็จะช่วยให้อาการดีขึ้นนะคะ
โรคในสาขาจิตเวชมีสาเหตุหลักมาจากสารเคมีในสมองขาดความสมดุล การรักษาด้วยยาจะช่วยปรับสารเคมีในสมองให้หลั่งสมดุล และเมื่อรักษาจนอาการดีขึ้น100เปอร์เซนต์ คุณหมอจะค่อยๆปรับลดยา จนกระทั่งสั่งหยุดยา ในระหว่างที่สั่งหยุดยาก็อาจต้องนัดติดตามอาการเป็นระยะ เนื่องจากต้องเฝ้าระวังในเรื่องของอาการกำเริบซ้ำด้วยค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ตอบโดย
ฉัตรดนัย
ศรชัย
(นักจิตวิทยาการปรึกษา)
Rehabilitation in Mental Health & Addiction
สวัสดีครับ
ในส่วนของการรับประทานยาเพื่อต่อสู้กับโรคซึมเศร้านั้น อย่างที่พี่นักจิตวิทยาได้กล่าวไปนะครับว่า การทานยาที่มีประสิทธิภาพจะต้องอาศัยความต่อเนื่องและการดูแลจากจิตแพทย์อย่างใกล้ชิด สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือเมื่อระยะเวลาผ่านไป สารเคมีในสมองของเราอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงอายุ หรือสถานการณ์รอบข้าง ทั้งในเรื่องความเครียด หรือเรื่องอื่นๆ ทำให้ยาตัวเดิมที่ใช้อยู่อาจจะไม่ได้ผล หรือได้ผลน้อยลง ประกอบกับการได้ยาตัวใหม่มาทาน อาจจะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร คุณจึงควรเข้าพบกับจิตแพทย์ผู้จ่ายยาให้ปรับยาที่เหมาะสมกับคุณครับ
ในส่วนของอาการ อารมณ์แปรปรวน อาจจะต้องให้คุณหมอเป็นผู้วินิจฉัยในเรื่องที่คุณสงสัยว่าคุณจะมีโรค Bipolar หรือไม่ซึ่งโดยปกติแล้วโรค Bipolar จะเกิดช่วยอารมณ์แปรปรวนในระยะเวลาที่ห่างกันเป็นหลักเดือน และสามารถอารมณ์ของทั้งสองด้านจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยผมได้แนบบทความไว้ด้านล่างเพื่อให้คุณได้ศึกษาเกี่ยวกับโรค Bipolar นะครับ
https://www.honestdocs.co/understanding-bipolar
บทความอาจจะยาวซักหน่อยแต่ก็รวบรวมข้อมูลไว้อย่างครบถ้วนดี อีกตัวเลือกหนึ่งหากคุณคิดว่าไม่ต้องการรับประทานยาอย่างเดียวคือการลองเข้าพบกับนักจิตวิทยา ที่จะช่วยให้คุณสามารถเรียนรู้ในเรื่องอารมณ์และความต้องการของตนเอง เพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้รับมือกับภาวะโรคซึมเศร้าที่คุณมีได้ครับ
สุดท้ายนี้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและความคิดของตนเองก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ช่วยเพื่อต่อสู้กับโรคซึมเศร้านะครับ ในเบื้องต้นอยากให้ลองใช้เวลาเพื่อทำกิจกรรมโดยอาจจะเป็น การออกกำลังกาย หรือแม้กระทั่งการออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านครับ การดูหนัง ฟังเพลง เองก็อาจจะเป็นกิจกรรมที่คุณสามารถทำได้ครับ ลองสังเกตตนเองว่าช่วงไหนที่เรารู้สึกเศร้า หรือมีอะไรที่เราทำแล้วอารมณ์เหล่านี้หายไป หลังจากนั้นก็พยายามทำสิ่งที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขมากขึ้นครับ
หากมีคำถามเพิ่มเติมใดๆ ก็สามารถสอบถามเข้ามาได้นะครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ถูกวินิจฉัยว่าเป็น Major Depressive Disorder รับประทานยามาประมาณปีกว่าแล้ว ยังไม่เจอโดสยาที่เหมาะสมเลย ยาปัจจุบันทาน 100mg Sertraline / 150mg Valosine / 100mg Trazodone / 3mg Lorazepam ล่าสุด Trazodone ขาดตลาดเลยได้ยา Zolpidem มาใช้แทนชั่วคราว เกิดอาการ Mood Swing, และสงสัยว่าอาจจะเป็น Bipolar ตอนนี้เกิดความเครียดอย่างมาก เพราะว่ารับประทานยามานานแล้ว หากต้องรักษา Bipolar อีกจำนวนยาก็จะเพิ่มขึ้นอีก จะเป็นไปได้มั๊ยคะ ที่จะหยุดการรักษา? เคยปรึกษาหมอแล้ว แต่คุณหมอยังอยากให้รักษาไปก่อนอีก ตอนนี้ได้กลับมาใช้ Trazodone แล้ว แต่อาการ Mood Swing ก็ยังเกิดขึ้นอยู่ เหนื่อยและเครียด ท้อแท้ หมดอาลัยตายอยาก เพลียตลอดเวลา รบกวนแนะนำด้วยค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)