August 24, 2019 14:18
ตอบโดย
Shintai Thavonlun (นพ.)
ยาคุมกำเนิดถ้ากินสม่ำเสมอสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ ใกล้เคียงร้อยเปอร์เซนต์ครับ แต่ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ครับ ดังนั้นหากกินยาตลอด แม้เป็นช่วงหยุดยา โอกาสตั้งครรภ์ก็แทบไม่มีครับ ส่วนถ้าอยากป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดส่วนใหญ่ได้ แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยด้วยครับ
ผลของการทานยาคุมกำเนิด จะขึ้นกับ เวลาที่เริ่มใช้ และชนิดของยาคุมกำเนิดครับ ถ้าแผงแรกที่เริ่มทาน
-ทานในช่วง5วันแรกของการมีประจำเดือน และยาที่ทานเป็นเม็ดยาฮอร์โมน(ส่วนใหญ่จะมีสี ที่ไม่ใช่สีขาว) จะคุมกำเนิดได้เลยครับ
-ทานในช่วงหลังจาก5วันแรกของการมีประจำเดือน มีผลคุมกำเนิดเมื่อทานเม็ดยาฮอร์โมน ติดต่อกันครบ 7 วันครับ
โดยทั่วไปยาคุมกำเนิด หลักๆจะมี 3แบบครับ
-แบบ 21เม็ด รับประทานครบ แล้วเว้น7วัน
-แบบ 22เม็ด รับประทานครบแล้วเว้น6วัน
-แบบ 28เม็ด รับประทานต่อเนื่องไปเลยครับ
ซึ่งโดยทั่วไป แบบ 21 หรือ 22 เม็ด ประจำเดือนจะมาในช่วงที่เว้นรับประทานยาไปครับ ส่วนแบบ 28 เม็ด ประจำเดือนจะมาในช่วงที่รับประทานเม็ดแป้งครับ
ทั้งนี้ควรทานยาสม่ำเสมอ และตรงเวลา จะได้มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดมากที่สุดครับ
นอกจากนี้ ยาคุมกำเนิด จะมีผลข้างเคียง ทำให้คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ อารมณ์แปรปรวนได้ครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ถ้ามีเพศสัมพเสร็จแล้วกินยาคุมได้เลยไหมค่ะ
ตอบโดย
จินตนา แสงโพธิ์ (เภสัชกร)
ยาคุมแบบ 21 เม็ดเป็น "ยาคุมรายเดือน" ค่ะ ไม่มีผลป้องกันฉุกเฉิน ผู้ถามจะต้องใช้ยาคุมรายเดือนให้ถูกต้องและมีผลคุมกำเนิดจากยาคุมขึ้นมาก่อนจึงจะมีเพศสัมพันธ์ได้นะคะ
..
..
..
โดยมีคำแนะนำในการใช้ยาคุมแบบ 21 เม็ด ดังนี้ค่ะ
1. ควรเริ่มรับประทานเมื่อไหร่
แนะนำให้เริ่มรับประทานยาคุมแผงแรกภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใช้ไม่ได้ตั้งครรภ์อยู่
และหากใช้ทันช่วงเวลาดังกล่าว ยาจะมีผลยับยั้งไข่ที่กำลังจะตกในเดือนนั้นได้เลย จึงถือว่ามีผลคุมกำเนิดได้ตั้งแต่เม็ดแรกที่รับประทานค่ะ (แต่ควรรอให้ประจำเดือนหายดีก่อนจึงค่อยมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในช่องคลอดและอุ้งเชิงกรานนะคะ)
2. ควรรับประทานในเวลาใด
ไม่มีเวลากำหนดตายตัวค่ะว่าจะต้องรับประทานยาคุมในเวลาใด แล้วแต่ความสะดวกของผู้ใช้
อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปจะแนะนำให้รับประทานยาคุมในเวลาก่อนนอน เพื่อลดอาการคลื่นไส้อาเจียนที่อาจพบ โดยเฉพาะในช่วงแรก ๆ ที่ผู้ใช้ยังไม่ชินกับยา อีกทั้ง ในเวลาดังกล่าว มักจะเป็นเวลาที่ผู้ใช้ไม่ค่อยลืมรับประทานยา
แต่การรับประทานยาคุมกำเนิดจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันการตั้งครรภ์หากรับประทานถูกต้องและตรงเวลาสม่ำเสมอ ดังนั้น ให้พิจารณาว่าเวลาใดที่ใกล้เคียงเวลานอน และผู้ใช้คาดว่าจะสามารถรับประทานตรงเวลาได้สม่ำเสมอ ก็ให้ถือว่าเวลาดังกล่าวเป็นเวลารับประทานยาคุมของตนเองนะคะ
3. รับประทานอย่างไร
ยาคุมแบบ 21 เม็ด จะมีเม็ดยาเหมือนกันทั้งแผงค่ะ ดังนั้น จะรับประทานเม็ดใดก่อนหรือหลัง ก็มีประสิทธิภาพและผลข้างเคียงไม่แตกต่างกัน ถ้ารับประทานต่อเนื่องตรงเวลาสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ง่ายต่อการใช้และตรวจสอบ ป้องกันการรับประทานซ้ำซ้อนเกินขนาด และแก้ไขได้เร็วหากลืมรับประทานยา แนะนำให้รับประทานตามลำดับลูกศรนะคะ
ซึ่งยาคุมแบบ 21 เม็ด จะมีการระบุ "ตัวย่อของวันในสัปดาห์" ไว้ในแผงยาค่ะ
ดังนั้น แนะนำให้เริ่มแกะเม็ดยาที่ตรงกับวันที่รับประทานจริง โดยจะเป็นตำแหน่งใดในแผงก็ได้ (จะมีเม็ดยาที่ตรงกับวันเดียวกันในสัปดาห์อยู่ 3 ตำแหน่งในแผง) เพราะเมื่อใช้ไปเรื่อย ๆ สุดท้ายก็จะวนกลับมาที่จุดแรกที่เริ่มใช้อยู่ดีค่ะ
จากนั้นก็แกะเม็ดยามาใช้วันละ 1 เม็ดเรียงลำดับตามลูกศรไปเรื่อย ๆ ทุกวันจนหมดแผงนะคะ
4. ประจำเดือนจะมาเมื่อไหร่ และจะต่อแผงใหม่อย่างไร
เมื่อใช้หมดแผงแล้วจะต้องเว้นว่าง 7 วันก่อนต่อยาคุมแผงใหม่ค่ะ และหากไม่มีการตั้งครรภ์ ควรจะมีประจำเดือนมาในช่วงที่เว้นว่าง โดยมักจะมาหลังใช้ยาหมดไปแล้ว 2 - 3 วัน หรือคลาดเคลื่อนเล็กน้อย
เมื่อประจำเดือนมาแล้วก็หมายถึงไม่มีการตั้งครรภ์ เว้นว่างครบ 7 วันแล้วก็ต่อยาคุมแผงใหม่ได้เลยนะคะ
ไม่จำเป็นจะต้องต่อยาคุมก่อนกำหนดโดยรับประทานยาคุมแผงใหม่ในวันแรกที่ประจำเดือนมา เพราะอาจทำให้รอบประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ หรือสั้นกว่าปกติ ซึ่งทำให้เสียเลือดบ่อยครั้งกว่าที่ควรจะเป็น อีกทั้งประสิทธิภาพในการป้องกันไม่แตกต่างกันกับการต่อยาคุมตรงตามกำหนด
และไม่ควรเว้นว่างเพิ่มเติมมากกว่า 7 วันเพื่อรอให้ประจำเดือนหายดีก่อนจึงค่อยต่อยาคุมแผงใหม่ เพราะอาจทำให้มีช่วงเวลาปลอดฮอร์โมนนานเกินไปจนขาดผลคุมกำเนิดต่อเนื่อง ซึ่งเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันในช่วงที่ไม่มีผลคุมกำเนิดจากยาค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ตอบโดย
สุวพัชญ์ พิศาลมงคล (นพ.)
สวัสดีครับ
ถ้ามีเพศสัมพันธ์ไปแล้ว ควรทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ครับ ยาคุมกำเนิดแบบรายเดือนควรทานวันที่ 1-5 ของการมีประจำเดือนครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ตอบโดย
จินตนา แสงโพธิ์ (เภสัชกร)
หากผู้ถามมีเพศสัมพันธ์ไปแล้ว จะต้องใช้วิธีป้องกันฉุกเฉินนะคะ ซึ่งมี 2 ทางเลือก ได้แก่
1. รับประทานยาคุมฉุกเฉินทันที หรือเร็วที่สุดที่ทำได้ ยิ่งเร็วยิ่งดี อย่างช้าไม่เกิน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์
โดยสามารถรับประทานแบบครบขนาดในครั้งเดียวได้ค่ะ นั่นคือ ถ้าใช้ยี่ห้อที่มีแผงละ 2 เม็ด ก็รับประทาน 2 เม็ดพร้อมกันในครั้งเดียว หรือถ้าใช้ยี่ห้อที่มีแผงละ 1 เม็ด ก็รับประทานเม็ดเดียวครั้งเดียว
แต่ยาคุมฉุกเฉินไม่ได้มีประสิทธิภาพสูงนะคะ แม้จะใช้ครบขนาดและทันเวลา แต่ผู้ใช้ก็ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 15 - 25% และไม่มีผลคุมกำเนิดต่อเนื่องหลังรับประทาน หากจะมีเพศสัมพันธ์ซ้ำ ก็ต้องใช้ถุงยางป้องกันด้วยนะคะ
2. ไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อใส่ห่วงอนามัยชนิดหุ้มทองแดงภายใน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์
วิธีนี้มีประสิทธิภาพสูงมาก ผู้ใช้มีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 0.6 - 0.8% เท่านั้น และมีผลคุมกำเนิดต่อเนื่องได้นาน 3 - 10 ปี ขึ้นกับรุ่นของห่วงอนามัยที่ใช้ค่ะ
แต่ห่วงอนามัยชนิดนี้อาจไม่ได้มีบริการในทุกโรงพยาบาล ดังนั้น หากสนใจ ควรโทรศัพท์สอบถามโดยตรงจากโรงพยาบาลตามสิทธิ์การรักษา หรือโรงพยาบาลที่ผู้ถามสะดวกจะไปรับบริการ (เพราะต้องรีบใส่ภายใน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์) ให้ชัดเจนก่อนนะคะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ตอบโดย
กันตณัฏฐ์
อยู่ตรีรักษ์ (แพทย์ทั่วไป)
(นพ.)
General physician
สวัสดีครับ
ถ้าหากได้มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันไปแล้ว ในตอนนี้ก็ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินให้เร็วที่สุดก่อนครับ
การรับประทานยาคุมฉุกเฉินนั้นควรรับประทานให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ภายในเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์เพื่อที่จะช่วยลดโอกาสผิดพลาดตั้งครรภ์ลง 75-85% แต่ถ้าหากเลยช่วงเวลาดังกล่าวไปแล้วก็ยังอนุโลมให้รับประทานภายใน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ได้ แต่ประสิทธิภาพของยาก็จะลดลงไปเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไปครับ
โดยทั่วไปแล้วในยาคุมฉุกเฉิน 1 แผงจะมียา 2 เม็ด สามารถรับประทานได้ 2 วิธี คือ
1. รับประทานพร้อมกันทีเดียว 2 เม็ด
2. รับประทานทีละ 1 เม็ดห่างกัน 12 ชั่วโมง
ซึ่งจะเลือกรับประทานยาด้วยวิธีใดก็ได้เพราะประสิทธิภาพของยาจะเท่ากันครับ แต่การรับประทานในรูปแบบ 2 เม็ดพร้อมกันอาจมีข้อดีเหนือกว่าตรงที่ไม่ต้องกังวลว่าจะลืมรับประทานยาเม็ดที่ 2
แต่ก็อาจมียาคุมฉุกเฉินบางยี่ห้อที่มียา 1 เม็ดในแผงเดียว ก็สามารถรับประทานยาเม็ดนั้นเม็ดเดียวได้เลยครับ
ส่วนถ้าหากจะเริ่มรับประทานยาคุมแบบรายเดือนหมอก็แนะนำว่าควรต้องมั่นใจก่อนว่าไม่มีการตั้งครรภ์ คือ ในตอนนี้ควรรอให้ประจำเดือนมาก่อนและให้เริ่มรับประทานยาคุมภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือนเพื่อให้ยาคุมออกฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ทันทีตั้งแต่วันแรกที่รับประทานยา และถ้าหากต้องการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้ก่อนที่ประจำเดือนจะมาก็ให้ใช้ถุงยางอนามัยป้องกันการตั้งครรภ์ไปก่อนครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
กินยาคุมหลังประจำเดือนหมด กินยาคุมแบบ21เม็ด เม็ดแรก แผงแรงของการหมดประจำเดือนได้4วัน แบบนี้จะเป็นอะไรไหมค่ะ แล้วการคุมกำเนิดจะได้ผลไหมค่ะ หรือยังไง
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)