August 16, 2018 14:30
ตอบโดย
วชิรวิทย์ สุทธิศักดิ์ (แพทย์ทั่วไป) (นพ.)
เท่าที่อ่านโอกาสตั้งครรภ์น้อยมากๆครับ เพราะ ช่วงที่มีประจำเดือนจะไม่มีการตกไข่ครับ
การรับประทานยาคุมกำเนิดในช่วงวันเเรกของการมีประจำเดือนก็ถือว่าได้ครับ แต่จริงๆของคนไข้ควรรับประทานเป็นยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมากกว่าครับ(ต้องไม่เกิน72ชม.หลังมีเพศสัมพันธ์)
เบื้องต้นเเนะนำตรวจการตั้งครรภ์ครับ ถ้าไม่ตั้งครรภ์ก็กินยาคุมต่อเลยครับ
ส่วนสิวขึ้น เลือดออกกระหริยกระปรอยเป็นผลจากยาคุมกำเนิดได้ครับ ต่อไปเเนะนำพิจารณาเปลี่ยนยาคุมเป็นรุ่นใหม่ๆ เช่น Yaz yazmin Oilezz เพราะจะช่วยคุมเรื่องสิวได้ด้วยครับ
ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมที่คนไข้กิน ถ้าให้ดีก็กินตรงเวลาทุกวันจะดีครับ จะได้ไม่ลืม เเต่ถ้ากินทุกวัน คนละเวลาก็ไม่ได้มีปัญหาครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ตอบโดย
จินตนา แสงโพธิ์ (เภสัชกร)
ไม่มีวิธีคุมกำเนิดใดที่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100% นะคะ การใช้ยาคุมกำเนิดมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 0.3 - 9% ซึ่งถ้ารับประทานถูกต้องและตรงเวลาสม่ำเสมอ ตัวเลขจะค่อนไปทางต่ำ คือ 0.3% ซึ่งถือว่าต่ำมากจนไม่น่าจะกังวลค่ะ
อาการที่เกิดขึ้นของผู้ถาม เช่น การมีเลือดกะปริบกะปรอย ไม่ได้บ่งบอกว่ามีการตั้งครรภ์นะคะ แต่เป็นอาการที่เกิดจากผลข้างเคียงของยาคุมค่ะ ซึ่งพบได้ในการใช้ยาคุมแผงแรก ๆ โดยเฉพาะเมื่อใช้ไม่ตรงเวลา
การมีเพศสัมพันธ์ในวันแรกของการมีประจำเดือนมีโอกาสตั้งครรภ์น้อย เนื่องจากไม่ใช่ช่วงที่น่าจะมีไข่ตก และการมีเพศสัมพันธ์ในครั้งต่อมาซึ่งได้รับประทานยาคุมไปแล้ว ก็ถือว่ามีผลคุมกำเนิดจากยาแล้วนะคะ จึงมีโอกาสตั้งครรภ์น้อย ในกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ยาคุมฉุกเฉินก็ได้ค่ะ (แต่การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีประจำเดือน ทำให้ผู้ถามเสี่ยงต่อการติดเชื้อในช่องคลอดและอุ้งเชิงกรานได้ง่ายนะคะ)
แต่ถ้าผู้ถามยังคงรับประทานยาคุมไม่ตรงเวลาเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดของยาจะไม่สูงนะคะ แทนที่โอกาสตั้งครรภ์จะเป็น 0.3% อาจสูงขึ้นจนเป็น 9% แทนได้ค่ะ
ดังนั้น แนะนำให้รับประทานยาคุมให้ตรงเวลาสม่ำเสมอนะคะ เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดที่ดี และลดผลข้างเคียงเรื่องการมีเลือดออกกะปริบกะปรอยด้วยนั่นเอง
ส่วนอาการอื่น ๆ เช่น หงุดหงิดง่าย หรือสิวขึ้น ยังไม่ชัดเจนว่าเกิดจากยาคุมนะคะ เพราะเพิ่งใช้มาเพียงไม่กี่วัน แนะนำให้ลองใช้ไปก่อนค่ะ ดูว่า 2 - 3 แผงแล้วยังมีอาการอยู่หรือไม่ หากมีมากก็สามารถปรับเปลี่ยนยาคุมที่เหมาะสมได้ค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ขอบคุณค่ะ
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
อยากทราบว่าทำไมบางคนที่ทานยาคุมกำเนิดบางคนมถึงยังเกิดการคั้งครรภ์คะ อยากทราบว่าการเะศสัมพันธ์ในช่วงประจำเดือนพร้อมทานยาคุมกำเนิดไปด้วยจะช่วยลดความเสี่ยงรึเปล่าคะ
ตอบโดย
จินตนา แสงโพธิ์ (เภสัชกร)
1. ทำไมบางคนที่ทานยาคุมกำเนิดถึงยังเกิดการตั้งครรภ์คะ?
ไม่มีวิธีคุมกำเนิดใดที่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100% ค่ะ ผู้ที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 0.3 - 9% ประสิทธิภาพจะสูง(เสี่ยงตั้งครรภ์ต่ำ) ถ้ารับประทานถูกต้องและตรงเวลาสม่ำเสมอ
แต่ประสิทธิภาพจะลดลง(เสี่ยงตั้งครรภ์สูงขึ้น) ถ้ารับประทานไม่ตรงเวลา หรือมีปัญหาต่าง ๆ (เช่น ลืมรับประทานยา, ใช้ยาคุมร่วมกับยาที่ลดประสิทธิภาพของยาคุม, อาเจียนภายใน 2 ชั่วโมงหลังรับประทานยา หรืออาเจียน/ถ่ายเหลวอย่างรุนแรงและต่อเนื่องกันมากกว่า 24 ชั่วโมง) โดยเฉพาะเมื่อแก้ไขปัญหาอย่างไม่เหมาะสม
2. การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงมีประจำเดือนพร้อมทานยาคุมกำเนิดไปด้วยจะช่วยลดความเสี่ยงรึเปล่าคะ
การเริ่มใช้ยาคุมแผงแรก แนะนำให้ใช้ภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใช้จะไม่มีการตั้งครรภ์อยู่ค่ะ และการเริ่มใช้ในช่วงเวลาดังกล่าว จะมีประสิทธิภาพในการยับยั้งไข่ตกในรอบเดือนนั้นได้ทัน จึงสามารถมีเพศสัมพันธ์หลังรับประทานยาคุมได้เลย
และเมื่อใช้ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมไปแล้ว ประจำเดือนจะมาในช่วง "ปลอดฮอร์โมน" ค่ะ นั่นคือ ถ้าใช้ยาคุมแบบ 21 เม็ด ก็จะมีประจำเดือนมาในช่วงที่เว้นว่าง 7 วันก่อนต่อยาคุมแผงใหม่ หรือถ้าใช้ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมแบบ 28 เม็ด ก็จะมีประจำเดือนมาในช่วงที่ใช้เม็ดแป้งของแผง
หากมีการใช้ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมอย่างถูกต้องและต่อเนื่องมาทุกวัน ก็จะมีผลคุมกำเนิดครอบคลุมไปถึงช่วงปลอดฮอร์โมนดังกล่าวด้วยค่ะ จึงไม่จำเป็นจะต้องต่อเม็ดยาฮอร์โมนของยาคุมแผงใหม่ หลังเม็ดยาฮอร์โมนในแผงเดิมหมด โดยข้ามการเว้นว่าง(ของยาคุมแบบ 21 เม็ด) หรือข้ามการใช้เม็ดแป้ง(ของยาคุมแบบ 28 เม็ด)
การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีประจำเดือน โดยเฉพาะในวันแรก ๆ ของการมีประจำเดือน มีโอกาสตั้งครรภ์น้อยค่ะ เพราะไม่น่าจะมีไข่ตกในช่วงเวลาดังกล่าว แม้จะไม่ใช้ยาคุมกำเนิดอยู่ก็ตาม แต่ป้องกันไม่ 100% นะคะ การใช้วิธีนับวันปลอดภัย หรือ หน้า 7 - หลัง 7 มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 5 - 24% ส่วนการใช้ยาคุมด้วยและมีเพศสัมพันธ์ในวันที่มีประจำเดือนด้วย ก็มีโอกาสตั้งครรภ์ 0.3 - 9% ตามประสิทธิภาพปกติของยาคุมค่ะ ตัวเลขไม่ได้ลดต่ำไปมากกว่านี้
แต่การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีประจำเดือนจะมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อในช่องคลอดหรืออุ้งเชิงกรานได้ง่ายค่ะ ต่อให้ใช้ถุงยางอนามัยก็ตาม ดังนั้น ไม่ว่าจะใช้ยาคุมกำเนิดอยู่หรือไม่ หรือใช้ถุงยางร่วมด้วยหรือไม่ ก็ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีประจำเดือนนะคะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 386 บาท ลดสูงสุด 61%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
มีเพศสัมพันธ์วันแรกของการมีประจำเดือนค่ะ และภายในวันเดียวกันนั้นได้ใช้ยาคุมกำเนิดdiora 21เม็ด(แผงแรกที่เคยใช้) ทานต่อเนื่องไม่เคยขาดสักวันแต่รับประทานในช่วงเวลาที่ต่างกัน บ่ายสองบ้าง สองทุ่มบ้าง เที่ยงคืนบ้าง ต่อมาได้มีเพศสัมพันธ์ในวันที่4ของการเป็นประจำเดือนค่ะ(หลั่งนอก) ทั้งนี้หลังจากทานยาคุมกำเนิดไดีมีอาการหงุดหงิดง่าย สิวขึ้นและมีเลือดออกกระปริดกระปรอย แม้จะผ่านช่วงที่ประจำเดือนควรหยุดไปแล้ว เลือดเป็นสีน้ำตาลค่ะ คล้ายเลือดเก่าในช่วงประจำเดือนวันท้ายๆ ถือว่าผิดปกติรึเปล่าคะ ควรหยุดยา และเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์มั้ยคะ ค่อนข้างเครียดมากค่ะ ปกติประจำเดือนมาทุกเดือนไม่ขาด ระยะห่างประมาณ28-30วันค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)