สวัสดีค่ะคุณหมอ​ คือดิฉันมีประจำเดือนวันที่ 10 ตุลาคม และเมื่อประมาณวันที่ 21 ตุลาคม ดิฉันได้มีเพศสัมพันธ์​ 1 ครั้งโดยการหลั่งนอกค่ะ​ หลังจากนั้นดิฉันก็มีอาการตกขาวและคันค่ะ จนกระทั่งประจำเดือนมาอีกทีวันที่ 5-9 พฤศจิกายน​ ในวันแรกประจำเดือนเป็นสีชมพูอ่อนๆและวันถัดมาก็มีสีแดงปกติ​ ( *ก่อนประจำเดือนมาประมาณ10 วันมีตกขาวผิดปกติ คือตกขาวคล้ายนมบูดสีขาวขุ่นและมีอาการคัน​ และได้กินยาฆ่าเชื้อก่อนประจำเดือนมาค่ะ)​ จนตอนนี้วันที่ 9 ธันวาคมประจําเดือนยังไม่มาเลยค่ะ โดยปกติประจำเดือนฉันจะมาก่อน (มีอาการตกขาวสีเขียวอ่อนและอาการ คัน แสบเป็นบางช่วงค่ะได้ประมาณ10วันแล้ว​ พึ่งทานยาฆ่าเชื้อ2ตัวได้1วันค่ะ​ โดยซื้อจากร้านขายยา)​ และคัดเต้านมได้ประมาณ 7 วันแล้วค่ะ​ ดิฉันอยากทราบว่า​อาการตกขาวที่ผิดปกติเกิดจากอะไรและอันตรายไหมคะ​ ก่อนมีเพศสัมพันธ์ตกขาวเป็นสีขาวบ้าง​ เป็นมุกใสบ้างค่ะ​ และดิฉันมีโอกาสจะตั้งครรภ์ไหมคะ หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์​อีกค่ะ​ ตัวยาฆ่าเชื้อสามารถกินได้จนหมดแผงใช่ไหม​ ขอบคุณ​มาก​ค่ะ​🙏

เราได้รับคำถามของคุณแล้ว รอทีมแพทย์มาตอบคำถามสักครู่นะคะ พูดคุยหรือสอบถามแอดมินได้ทุกวัน ทางไลน์ @honestdocs ค่ะ

สวัสดีครับ
ถ้าหากหลังจากวันที่ 21 ตุลาคมได้มีประจำเดือนมาปกติ 1 ครั้งแล้วและไม่ได้มีเพศสัมพันธ์อีกหลังจากนั้นก็ไม่ควรมีการตั้งครรภ์ครับ เนื่องจากถ้ามีการตั้งครรภ์เยื่อบุโพรงมดลูกก็จะต้องเจริญหนาตัวขึ้นเรื่อยๆเพื่อรองรับการฝัฃตัวของตัวอ่อนและจะไม่หลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน

แต่ถ้าหากต้องการความมั่นใจจริงๆก็สามารถลองตรวจการตั้งครรภ์ยืนยันดูได้ซึ่งกาีตรวจในตอนนี้ก็จะให้ผลตรวจที่เชื่อถือได้แล้วครับ

และถ้าหากไม่มีการตั้งครรภ์ปนะจำก็อาจมาช้าได้จากสาเหตุอื่นๆ เช่น
- ไม่มีการตกไข่ในรอบเดือนที่ผ่านมา
- ระดับฮอร์โมนในเลือดที่ผิดปกติ
- ภาวะมีถุงน้ำหลายใบในรังไข่ (PCOS)
- ไทรอยด์เป็นพิษ
- ความเครียด
- การออกกำลังกายอย่างหักโหม
- น้ำหนักตัวที่มากหรือน้อยเกินไป
เป็นต้น
ซึ่งในกรณีนี้ก็อาจรอประจำเดือนต่อไปก่อนได้อีกระยะหนึ่ง แต่ถ้าหากประจำเดือนขาดหายไปนานกว่า 3 เดือนหรือมีปัญหาประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมออยู่บ่อยๆ ก็ควรไปพบแพทย์นรีเวชเพื่อตรวจหาสาเหตุครับ

ส่วนอาการตกขาวที่เปลี่ยนสีผิดปกติและทำให้มีอาการแสบคันในช่องคลอดนั้นอาจเกิดจากการติดเชื้อบางอย่างในช่องคลอดได้ ซึก็ต้องให้การรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อที่เหมาะสมอาการจึงจะหายไปได้ครับ ดังนั้นถ้าหากอาการเป็นมานานแล้วหมอก็แนะนำว่าควรไปพบแพทย์นรีเวชเพื่อตรวจหาสาเหตุก่อนเพื่อที่จะได้ให้การรักษาได้อย่างถูกต้องเพื่อให้อาการหายขาดครับ