June 01, 2019 02:13
ตอบโดย
นิชดา พงษ์ธัญญกรณ์ (แพทย์ทั่วไป) (พญ.)
สวัสดีค่ะ ลองวิเคราห์ตนเองว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่ ได้แก่
1.มีอารมณ์เศร้าตลอดเวลา
2.ความสนใจสิ่งต่างๆลดลง
3.การนอนหลับผิดปกติ
4.รู้สึกไร้ค่าหรือรู้สึกผิด
5.เหนื่อยง่ายหรือไม่ค่อยมีแรง
6.เบื่ออาหาร
7.การเคลื่อนไหวช้าลง
8.มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย
9.มีปัญหากับการจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ถ้ามีหลายๆข้อที่กล่าวไปข้างต้น เป็นเวลาอย่างน้อย2สัปดาห์ อาจคิดถึงโรคซึมเศร้าค่ะ ควรไปพบแพทย์เพื่อทำจิตบำบัดและทานยารักษาโรคค่ะ หรือสามารถทำแบบประเมินได้ตามลิงค์ข้างล่างนี้ค่ะ
http://www.prdmh.com/แบบประเมินโรคซึมเศร้า-9-คำถาม-9q.html
ถ้าหากทำได้ตั้งแต่ 7 คะแนนขึ้นไปก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคซึมเศร้าได้มากขึ้น
ลองเปิดใจคุยกับทางบ้านว่าโรคนี้ไม่ได้เป็นเรื่องไร้สาระ โรคนี้เกิดจากสารสื่อประสาทในสมองไม่สมดุลและจำเป็นต้องได้รับการรักษาค่ะ หมอแนะนำลองโทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิตปรึกษาเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าได้ที่เบอร์ 1323 โทรฟรีตลอด 24 ชั่วโมงค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ตอบโดย
กันตณัฏฐ์
อยู่ตรีรักษ์ (แพทย์ทั่วไป)
(นพ.)
General physician
สวัสดีครับ
สาเหตุของการเกิดโรคซึมเศร้านั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ
1. จากการทำงานที่ผิดปกติของสารเคมีในสมอง
2. จากสภาพแวดล้อมภายนอกที่กระตุ้นให้เกิดความเครียด
สำหรับแต่ละคนก็จะมีสัดส่วนของสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแตกต่างกันไปและก็จะมีแนวทางการรักษาที่แตกต่างกันบ้าง เช่น ในคนที่สาเหตุมาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลักก็ต้องเน้นการดูแลสภาพจิตใจและสภาพแวดล้อมควบคู่ไปกับการใช้ยาให้มากขึ้นกว่าปกติครับ
ในกรณีที่ได้รับการรักษาโรคซึมเศร้าแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นจะมีประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ
1. ได้รับยาในขนาดที่เหมาะสมมานานเพียงพอหรือยัง
ยารักษาโรคซึมเศร้านั้นเป็นยาทีีต้องใช้เวลา 6-8 สัปดาห์กว่าจะเริ่มออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ ถ้าหากเพิ่งเริ่มรับประทานยามาไม่นานก็เป็นไปได้ที่ต้องใจเย็นๆและรอการออกฤทธิ์ของยาต่อไปก่อนอีกระยะหนึ่ง แต่ถ้าหากรับประทานยามา 6-8 สัปดาห์แล้วอาการยังไม่ค่อยดีขึ้นมากนักก็ต้องมีการพิจารณาเพิ่มขนาดยาหรือปรับเปลี่ยนยาใหม่ครับ
2. กรณีที่มีการปรับเปลี่ยนยามาหลายครั้งแล้วอการยังไม่ดีขึ้นก็ยังมีการรักษาทางเลือกอื่นๆเพิ่มเติม เช่น การใช้ไฟฟ้ากระตุ้นการทำงานของสมอง (ECT) การกระตุ้นการทำงานของสมองด้วยสนามแม่เหล็ก (TMS)
3. มีปัจจัยแวดล้อมอะไรที่เข้ามากระตุ้นหรือไม่
ถ้ามีปัจจัยที่เข้ามากระตุ้นทางที่ดีที่สุดก็คือต้องปรับสภาพแวดล้อมเหล่านั้นให้มีความเหมาะสมมากขึ้น แต่ในหลายๆครั้งการปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก จึงอาจต้องฝึกเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้นให้ได้ โดยในกรณีนี้การรักษาด้วยการทำจิตบำบัดในรูปแบบต่างๆก็มักใช้ได้ผลดีครับ
4. อาจต้องมีการประเมินการวินิจฉัยใหม่ว่าถูกต้องหรือยัง และอาจต้องมีการหาโรคทางจิตใจบางอย่างที่อาจซ่อนอยู่ร่วมด้วย
ในกรณีที่ต้องการปรับความเข้าใจกับคนที่บ้านนั้นในบางครั้งก็อาจต้องใช้เวลา ค่อยๆปรับความเข้าใจอย่างค่อยเป็นค่อยไป การปรับความเข้าใจที่เคยผิดไปจากความเป็นจริงมาเป็นเวลานานอาจเป็นเรื่องยากที่จะทำได้ในวันเดียวครับ หรือถ้าหากเป็นไปได้ก็อาจชวนให้คนที่บ้านไปพบจิตแพทย์พร้อมกันเวลาที่ไปติดตามอาการด้วยซึ่งทางจิตแพทย์ก็พอจะช่วยให้คนที่บ้านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวโรคและอาการที่เกิดขึ้นได้ในระดับหนึ่งครับ
นอกจากนี้เมื่อมีอาการที่ไม่ดีขึ้นหลังรับการรักษา โดยเฉพาะถ้าหากมีอารมณ์เศร้าเพิ่มขึ้นมากหรือมีความคิดอยากตายเกิดขึ้นมาก หมอก็แนะนำว่าควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินอาการเพิ่มเติมในทันทีก่อนโดยไม่ต้องรอให้ถึงวันนัดครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ตอบโดย
ศิรินทิพย์ ผอมน้อย (นักจิตวิทยาคลินิก)
การรักษาด้วยยาจะช่วยปรับสมดุลสารเคมีในสมอง ช่วยให้เราควบคุมความคิด อารมณ์ พฤติกรรมต่างๆได้ง่ายขึ้น แต่ยาไม่สามารถรักษาให้อาการดีขึ้นได้ 100 % โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีปัจจัยความเครียดมากระตุ้น ในประเด็นนี้ นักจิตฯมีความคิดเห็นว่าหนูควรได้รับการรักษาด้วยจิตบำบัดควบคู่ไปด้วย
จิตบำบัดจะช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจ ช่วยให้เราปรับตัวกับสิ่งต่างๆรอบตัวได้เหมาะสมมากขึ้นนะคะ
จริงๆแล้วปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้น หากเราไม่นำมาใส่ใจ มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น แต่เมื่อใดที่เราเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้อง มันจะทำให้เราเกิดความทุกข์ ส่วนความทุกข์ของหนูในขณะนี้คือหนูคาดหวังให้คนใกล้ชิดเข้าใจ เมื่อไม่เป็นไปตามที่คาดหวังหนูก็จะรู้สึกทุกข์ใจมากขึ้น กรณีนี้หากคนในครอบครัวไม่เข้าใจ เราก็ควรปล่อยวาง ทำความเข้าใจว่าเขาอาจจะไม่รู้จักโรคซึมเศร้า จึงพูดกับเราว่าไร้สาระ และการที่เราจะทำให้ใครเข้าใจในสิ่งที่เราเป็นนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะบางเวลาตัวเราเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันนะคะ
ในกรณีของหนู ให้หนูโฟกัสที่ตัวเอง รับรู้ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น และจัดการแก้ไขปัยหาที่ตัวเรา เมื่อหนูเป็นซึมเศร้า ก็ต้องแก้ไขด้วยการรักษาตามแนวทางที่เหมาะสม คือการรักษาด้วยยา การทำจิตบำบัด การดูแลตัวเองด้วยการทานยาสม่ำเสมอ หมั่นออกกำลังกาย ทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย ฝึกควบคุมความคิดในแง่บวก พักผ่อนให้เพียงพอ และต้องไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งเพื่อติดตามอาการ หากอาการไม่ดีขึ้นคุณหมอจะได้ปรับเปลี่ยนยาให้เหมาะสมหรือวางแผนการรักษาเพิ่มเติมนะคะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
หนูเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ ได้รับการรักษาจากยาแล้ว แต่อาการไม่ดีขึ้นเลยเพราะสภาพแวดล้อมกระตุ้นค่ะ จิตใจถดถอยลงเรื่อยๆ จนตอนนี้อาการแย่ลงจริงๆค่ะ อยากปรึกษาหมอที่โรงพยาบาล แต่ไม่สามารถไปหาได้ค่ะ ต้องทำยังไงให้อาการเศร้าบรรเทาลงบ้างค่ะ ทุกวันนี้ไม่มีความสุขจริงๆค่ะ หนูไม่รู้ว่าหนูจะทนได้จนถึงวันไหนและหนูก็ไม่รู้จะอธิบายให้คนในบ้านเข้าใจหนูยังไง เพราะหนูเคยรวบรวมความกล้าแล้วบอกเขาไป แต่เขาบอกว่าไร้สาระ ไม่รู้จะสื่อยังไง เลยวาดลงในกระดาษค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)