July 09, 2019 03:56
ตอบโดย
ศิรินทิพย์ ผอมน้อย (นักจิตวิทยาคลินิก)
จากอาการที่เล่ามามีแนวโน้มที่จะเป็นซึมเศร้าได้นะคะ
ซึมเศร้ามีสาเหตุหลักจากสารเคมีในสมองหลั่งผิดปกติ ทำให้การรับรู้ ความคิด การแสดงออกทางอารมณ์และพฤติกรรมผิดปกติไปจากเดิม หากเจอปัญหาหรือมีเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจ จะทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น
อาการของโรคซึมเศร้า จะมีอาการต่อไปนี้อย่างน้อย 7 ข้อ ต่อเนื่องเกือบทุกวัน นานเกิน 2 สัปดาห์
1.เบื่อหน่าย ไม่มีความสุข
2.ท้อแท้ เศร้า
3.อ่อนเพลีย
4.นอนไม่หลับ/หลับมากเกินปกติ
5.เบื่ออาหาร/ทานได้เยอะกว่าปกติ
6.ขาดสมาธิ
7.หงุดหงิดง่าย
8.ขี้น้อยใจ รู้สึกไร้ค่า
9.อยากตาย /อยากทำร้ายตัวเอง
หากมีอาการเข้าข่ายซึมเศร้าควรพบจิตแพทย์ทันที ประเมินอาการเพิ่มเติม วินิจฉัยโรคให้แน่ชัด แล้วรับการรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสม จะช่วยให้อาการดีขึ้นค่ะ แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา หรือรักษาไม่ถูกวิธี ตัวโรคจะกำเริบรุนแรงมากขึ้น และจะต้องใช้เวลาในการรักษานานขึ้นนะคะ
การรักษาซึมเศร้าที่ได้ผลดี คือการรักษาด้วยยา ยาจะช่วยปรับสมดุลสารเคมีในสมอง ทำให้ควบคุมความคิดอารมณ์และพฤติกรรมต่างๆได้เหมาะสม ร่วมกับการทำจิตบำบัด จะช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจทำให้ปรับตัวต่อปัญหาต่างๆได้ดีขึ้นค่ะ
ในระหว่างทำการรักษา ควรทานยาสม่ำเสมอ ไม่หยุดยาเอง หมั่นออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ งดสารเสพติดทุกชนิด และไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งจะช่วยให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้นนะคะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ตอบโดย
นิชดา พงษ์ธัญญกรณ์ (แพทย์ทั่วไป) (พญ.)
สวัสดีค่ะ จากประวัติมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้าได้ค่ะ ซึ่งโรคซึมเศร้าจะมีอาการดังต่อไปนี้
1.มีอารมณ์เศร้าตลอดเวลา 2.ความสนใจสิ่งต่างๆลดลง 3.การนอนหลับผิดปกติ
4.รู้สึกไร้ค่าหรือรู้สึกผิด 5.เหนื่อยง่ายหรือไม่ค่อยมีแรง 6.เบื่ออาหาร
7.การเคลื่อนไหวช้าลง 8.มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย 9.มีปัญหากับการจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ถ้ามีหลายๆข้อที่กล่าวไปข้างต้น เป็นเวลาอย่างน้อย2สัปดาห์ หมอจะคิดถึงโรคซึมเศร้าค่ะ ไม่ควรปล่อยไว้ให้หายเองค่ะ เพราะอาการอาจยิ่งแย่ไปกว่าเดิม ควรไปพบจิตแพทย์เพื่อทำจิตบำบัดและทานยารักษาโรคค่ะ ยารักษาโรคซึมเศร้ามีหลายกลุ่ม เช่น กลุ่ม SSRI ตัวอย่างยาเช่น Fluoxetine Sertraline กลุ่ม Antidepressant ตัวอย่างยาเช่น Amitriptyline Selegiline เป็นต้นค่ะ ถ้ากังวลเรื่องค่าใช้จ่ายสามารถไปรักษาโดยใช้สิทธิบัตรทองได้ตามโรงพยาบาลที่ตนมีสิทธิค่ะ ตรวจสอบสิทธิตนเองได้ที่เบอร์สายด่วนสปสช.1330
นอกจากนี้เบื้องต้นยังสามารถโทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิตได้ที่เบอร์ 1323 ค่ะ
สำหรับรายชื่อโรงพยาบาลในกรุงเทพที่มีจิตแพทย์ให้การรักษาสามารถดูได้ตามลิงค์ข้างล่างนี้ค่ะ
https://www.honestdocs.co/list-psychiatric-hospital
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ตอบโดย
ฉัตรดนัย
ศรชัย
(นักจิตวิทยาการปรึกษา)
Rehabilitation in Mental Health & Addiction
สวัสดีครับ
ก่อนอื่นเลยขอเป็นกำลังใจให้คุณนะครับ ในการที่จะต่อสู้กับเรื่องราวที่เข้ามาในชีวิตและพยายามก้าวผ่านสิ่งเหล่านี้ไป ก่อนอื่นเลยในเรื่องของการเข้าพบจิตแพทย์ ก็แนะนำเหมือนคุณหมอนะครับว่าให้ไปใช้สิทธิบัตรทอง หรือสิทธิประกันสังคมที่มีอยู่หากว่ากังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ขั้นตอนอาจจะเยอะซักหน่อยแต่ว่าค่าใช้จ่ายจะแถบไม่ต้องเสียเลยหากพบแพทย์ในเวลา ซึ่งนอกจากสายด่วนสปสช. 1330 แล้วลองเข้าไปตรวจสอบสิทธิของตนเองได้ที่เว็บไซต์ด้านล่างนี้นะครับ
http://eservices.nhso.go.th/eServices/mobile/login.xhtml
หากมีคำถามเรื่องขั้นตอนก็แนะนำให้ติดต่อไปที่สายด่วนจะได้คำตอบที่ชัดเจนกว่านะครับ
จากที่เล่ามานี้ ก็ค่อนข้างเห็นได้ชัดเจนว่าได้เจอกับเรื่องต่างๆเข้ามามากมาย และที่ผ่านมาก็พยายามเข้มแข็งมาตลอด สิ่งสำคัญที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ก็คือการเข้าพบกับนักวิชาชีพ ไม่ว่าจะเป็นจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อเป็นตัวช่วยให้คุณได้มีการปรับเปลี่ยนความคิด และวิธีการในการบริหารอารมณ์ และดูแลตนเองที่ดีขึ้น สามารถรับมือกับเรื่องราวต่างๆที่เข้ามาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทานยาอาจจะช่วยในเรื่องของการปรับอารมณ์บางอย่าง ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะค่อนข้างใช้เวลาและการเปลี่ยนแปลงอาจจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ก็อยากให้ค่อยๆให้เวลากับตัวเองได้ปรับตัวไปนะครับ
นอกจากการเข้าพบผู้เชี่ยวชาญแล้ว สิ่งที่สามารถทำได้เองเลยก็คือ การหันกลับมาดูแลตนเองให้มากขึ้น โดยคุณสามารถลองทำกิจกรรมที่เคยสนใจหรือทำแล้วรู้สึกว่าทำให้ผ่อนคลายหรือทำให้รู้สึกดีขึ้นได้บ้าง หาเวลาให้ตนเองรู้สึกสงบ รู้สึกดี หรือสนุกผ่อนคลาย และแบ่งเวลาไปอยู่กับสิ่งๆนั่นครับ นอกจากนั้นอาจจะลองมองดูกิจกรรมที่สามารถทำเป็นประจำได้เช่น การออกลังกาย การฟังเพลง หรือการทำงานอดิเรกบางอย่าง ทานอาหารให้ครบหมู่ ออกไปทานของอร่อยๆบ้าง ซึ่งตรงนี้ก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่มีส่วนช่วยให้ความรู้สึกเศร้าหรือความคิดด้านลบต่างๆลดน้อยลงได้ คล้ายๆกับการพักฟื้นให้สภาพจิตใจของตนเองค่อยๆมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งการดูแลตนเองควบคู่กันไปด้วยกับการรับการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต จะเป็นการช่วยให้คุณสามารถรับมือกับเรื่องต่างๆที่เข้ามาในชีวิตได้ในระยะยาวอีกด้วยครับ
สุดท้ายนี้หากมีคำถามอื่นๆเพิ่มเติมก็ลองสอบถามเข้ามาได้นะครับ เข้าใจว่าในปัจจุบันไม่ค่อยอยากที่จะเล่าเรื่องอะไรให้ใครฟังแล้ว แต่ถ้าเกิดว่ามีบุคคลที่ไว้ใจไว้ให้ค่อยแชร์อารมณ์ ความรู้สึกบ้าง ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคุณครับ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไรครับ ยังไงก็ลองเข้ารับการบริการจากนักวิชาชีพดู เชื่อว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่คุณต้องการครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
มีอาการเครียดคล้ายโรคซึมเศร้าค่ะ เดิมทีเราเป็นคนชอบเข้าสังคม เข้มแข็ง และร่าเริงมากๆถึงมากที่สุด เป็นคนที่มีความสุขมากๆคนหนึ่ง แต่พอ3-4ปีให้หลัง เรามีเรื่องเครียดเยอะมาก ไม่ว่าจะครอบครัวตัวเอง และ คนรัก รวมไปถึงครอบครัวของคนรัก เราเริ่มเก็บตัว และ พยายามหาความสุขให้กับตัวเอง ซึ่งความสุขเพียงอย่างเดียวของเราตอนนั้นคือการนอนอยู่บนเตียง ในห้องนอน คนเดียว การได้อยู่คนเดียวนั้นคือสิ่งที่ทำให้จิตใจเราสงบค่ะ เราเริ่มทานเยอะขึ้นเพราะมันก็เป็นอีกสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น พอมีปัญหากับคนที่บ้าน คนรัก หรือใครๆ เราจะโทษตัวเองเป็นอันดับแรก และร้องไห้ออกมาคนเดียว ตอนนั้นเราคิดว่าเราอาจะจิตใจอ่อนแอลง เลยปรึกษาพี่สาวและเพื่อน แต่คำตอบที่ได้กลับมาคือ เราต้องคิดแง่บวกเยอะๆ เราก็พยายามคิดบวกค่ะ แต่สิ่งที่ได้คือมันเหมือนแย่กว่าเดิม จนเราไม่กล้าไปถามใครหรือปรึกษาใครเลยค่ะ นับวันตอนนี้เราเหมือนคนบ้า ที่อยู่ๆบางวันก็อารมณ์ดี หรือบางทีถ้าเจอเรื่องนิดเดียวใครพูดอะไรที่กระทบต่อจิตใจเราเพียงนิดเดียว เราร้องไห้หนักมาก เราหาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้ ทั้งๆที่เมื่อก่อนเราเนี่ยแหละค่ะคนที่ปลอบใจคนอื่นเสมอ หลังจากนั้นเราโทษตัวเองหนักมาก เราเริ่มทำร้ายร่างกายตัวเองโดยการทุบตีตัวเอง โทษว่าเราเป็นภาระ เรามันไม่ควรเกิดมา ไม่มีใครอยู่เคียงข้างเรา เราเคยคิดฆ่าตัวตายหายครั้งค่ะ แต่ทุกครั้งเราเรียกสติกลับมา เราเริ่มพูดเริ่มบ่นกับตัวเองตอนอยู่คนเดียว ร้องไห้คนเดียว หรือยิ่งถ้าเจออะไรนิดหน่อยเราก็จะเครียด ร้องไห้ รับมือกับมันไม่ไหว เราร้องไห้บ่อยมากค่ะ ท้อแท้แทบทุกวัน จิตใจก็อ่อนแอลงทุกวันๆ มาหลายปี ตอนนี้อาการปัจจุบันเราคือ ท้อแท้ และสิ้นหวังค่ะ เป็นแบบนี้อาทิตย์ละ3-4วัน เรานั่งร้องไห้คนเดียว ก่อนนอนก็คิดแง่ลบ จนนอนไม่ค่อยหลับ หรือบางทีก็นอนเยอะมากๆ เราเริ่มสมาธิสั้น เริ่มวิตกกังวลหลายๆอย่าง ซึ่งเรามักคิดว่าเราคือภาระคนอื่น เป็นตัวถ่วง ไม่คสรเกิดมา ถ้าเราตายทุกคนจะโอเค ทุกคนจะมีความสุขมากกว่านี้ เราคิดฆ่าตัวตายบ่อยมาก หาวิธีฆ่าตัวตายโดยไม่เดือดร้อนคนอื่นแลง่ายที่สุด เราเหมือนคนที่ควบคุมจิตใจไม่ได้ค่ะ มันเหมือนอะไรนิดๆหน่อยๆมากระทบเราก็เศร้า เราก็เสียใจมาก ล่าสุด แค่คำพูดคนรักคำเดียวว่า" ไม่ได้เรื่อง" เราก็ขึ้นห้องปิดประตูร้องไห้ทำร้ายร่างกายตัวเอง และ โทษตัวเองมากค่ะ เราเริ่มอยากตายขึ้นมากเรื่อยๆ ชีวิตมันไม่สดใส เราหัวเราะออกมาแต่ละครั้งคือหลอกตัวเองทั้งนั้นค่ะ ทุกวันนี้สิ่งที่เยียวยาเราคือ การกินนอน อยู่ในห้องนอนคนเดียว เราคิดมาตลอดว่า เราไม่เป็นโรคซึมเศร้าแน่นอนค่ะ เราแค่กังวลไปเอง แต่พอเริ่มศึกษาเราก็เริ่มกลัวว่าเราอาจจะเป็น แต่เราไม่มีเงินไปหาหมอค่ะ ไม่อยากขอตังที่บ้านไป ไม่อยากให้ใครรู้ เราเลยพยายามคิดแง่บวก แต่มันก็ไม่เคยได้ผลดลยสักครั้ง เพราะสุดท้ายเราก็โทษตัวเอง และจบลงด้วยการคิดจะหายไปจากโลกนี้ เราควรทำยังไงกับตัวเองดีคะ การหาหมอจิตแพทย์ครั้งแรก ค่าใช้จ่ายเยอะไหมคะ ถ้าไม่หาหมอเราจะยังดีขึ้นไหมคะ และเราไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าใช่ไหมคะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)