กองบรรณาธิการ HonestDocs
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HonestDocs

UTI: Urinary Tract Infection (ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ)

เผยแพร่ครั้งแรก 8 ธ.ค. 2016 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 6 นาที

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะตั้งท่อปัสสาวะไปจนถึงไต มักเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะมีลักษณะทางกายภาพของอวัยวะเพศที่เอื้อต่อการติดเชื้อมากกว่า
  • มีปัจจัยเสี่ยงมากมายที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ เช่น ดื่มน้ำน้อย เป็นนิ่วที่กรวยไต ชอบกลั้นปัสสาวะ การเข้าสู่วัยสูงอายุ การใช้ห่วงคุมกำเนิด โรคเบาหวาน
  • การรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะหลักๆ จะรักษาโดยการใช้ยาปฏิชีวนะซึ่งมีอยู่หลายกลุ่ม แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาจากปัจจัยเกี่ยวกับอาการป่วยว่า ผู้ป่วยรายนั้นควรรับยากลุ่มใด เช่น การแพ้ยา ความผิดปกติของไต ขนาดการลุกลามของการติดเชื้อ
  • โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก ผู้ที่เคยเป็นโรคนี้จึงต้องดูแลตนเองให้เหมาะสม เพื่อป้องกันการกลับมาเกิดโรคนี้อีก เช่น ไม่กลั้นปัสสาวะ ดื่มน้ำให้มากๆ ไม่ใส่ชุดนั้นในที่รัดแน่นเกินไป
  • มีภาวะแทรกซ้อนมากมายที่เกิดขึ้นได้จากโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เช่น ไตผิดปกติมากกว่าเดิม ติดเชื้อในกระแสเลือด ท่อปัสสาวะตีบ ทางที่ดีคุณจึงควรหมั่นดูแลสุขภาพให้ดี หากรู้สึกว่า ปัสสสาวะแล้วรู้สึกผิดปกติ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที (ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพผู้หญิง ผู้ชายทุกวัยได้ที่นี่)

ความหมายของโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection: UTI) หมายถึง การอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะซึ่งมีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยพบตั้งแต่ท่อปัสสาวะไปจนถึงไต ส่วนมากมักจะเกิดขึ้นบริเวณทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง ซึ่งได้แก่ 

ส่วนการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนบน ได้แก่ 

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

  • บริเวณไต (Kidney)  เรียกว่า “Pyelonephritis” 
  • ท่อไต (Ureter) 

นอกจากนี้ จากการติดเชื้อดังกล่าว ยังสามารถทำให้เกิดโรคกรวยไตอักเสบได้เช่นกัน แต่จะพบได้น้อยกว่า แต่หากกรวยไตมีการติดเชื้อ หรือเกิดการอักเสบ อาการจะรุนแรงกว่าการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง โดยคนไข้มักจะมีอาการไข้ ปัสสาวะขัด ร่วมกับปวดหลัง 

หากมีอาการดังกล่าวควรไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะอาจนำไปสู่การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะได้

อุบัติการณ์การเกิดโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะพบได้ค่อนข้างบ่อยในผู้หญิงทั้งเด็ก และผู้ใหญ่มากกว่าในผู้ชาย งานวิจัยหนึ่งเผยว่า โดยทั่วไป 60% ของผู้หญิงทั่วไปจะมีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต 

แต่ทั้งนี้ การที่พบโรคนี้ในผู้หญิงได้มากกว่าผู้ชายนั้น มีความสัมพันธ์กับลักษณะทางกายภาพของอวัยวะเพศหญิงซึ่งสามารถติดเชื้อได้มากกว่าในเพศชาย เช่น

  • มีท่อปัสสาวะที่สั้นกว่า
  • ความชื้นรอบบริเวณรูเปิดของท่อปัสสาวะมากกว่า
  • รูเปิดของท่อปัสสาวะใกล้กับทวารหนักมากกว่า

สำหรับวัยของผู้หญิงที่มักจะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะมากที่สุด คือ หญิงวัยเจริญพันธุ์ นอกจากนี้ ผู้หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์ จะมีโอกาสเกิดโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้มากกว่าหญิงที่ไม่มีเพศสัมพันธ์ 

ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 1 วันใน 1 สัปดาห์จะสามารถเกิดโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ถึง 37% และในกลุ่มที่มีเพศสัมพันธ์เป็นเวลา 5 วันใน 1 สัปดาห์พบว่า มีโอกาสเกิดโรคมากกว่าถึง 5 เท่าเมื่อเทียบกับกลุ่มที่มีเพศสัมพันธ์เพียง 1 วัน 

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

สาเหตุ และปัจจัยเสี่ยงของโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ 

ภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เกิดขึ้นเมื่อแบคทีเรียเข้าไปในทางเดินปัสสาวะโดยผ่านทางท่อปัสสาวะ ส่วนมากจะเป็นเชื้อ E. coli (อี. โคไล) และแบคทีเรียอื่น ๆ ที่พบได้ปกติในบริเวณทางเดินอาหาร  

ส่วนการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ ได้แก่เชื้อ Herpes (เฮอร์พีรส์) Gonorrhea (โกโนเรีย) Chlamydia (คลาไมเดีย) และ Mycoplasma (ไมโคพลาสมา) สามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อได้

สำหรับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่เพิ่มโอกาสการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ

  1. มีท่อปัสสาวะที่ค่อนข้างสั้น
  2. ในหญิงที่มีการเช็ดทำความสะอาดอวัยวะเพศไม่เหมาะสม เช่น การเช็ดจากทวารหนักไปอวัยวะเพศ ซึ่งเป็นการนำพาให้เชื้อแบคทีเรียจากรูทวารมายังท่อปัสสาวะได้
  3. ในชายที่มีต่อมลูกหมากขนาดใหญ่ หรือมีภาวะต่อมลูกหมากโต (Benign Prostate Hyperplasia: BPH)
  4. ปัสสาวะน้อย จากการที่ดื่มน้ำปริมาณน้อยเกินไป
  5. เป็นนิ่วบริเวณกรวยไต หรือการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ
  6. การมีเพศสัมพันธ์
  7. การใช้ห่วงคุมกำเนิด หรือใช้สารทำลายเชื้ออสุจิในการคุมกำเนิด
  8. วัยหมดประจำเดือน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงระบบทางเดินปัสสาวะในผู้หญิง
  9. ผู้สูงอายุ
  10. การใช้สายสวนปัสสาวะในการขับปัสสาวะ
  11. ได้รับการผ่าตัด หรือมีหัตถการบริเวณที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะในช่วงที่ผ่านมา
  12. เป็นโรคเบาหวาน หรือโรคอื่นที่ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลง
  13. การกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน
  14. ผู้ที่มีประวัติติดเชื้อทางเดินปัสสาวะตอนเด็ก

อาการของโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในหญิงตั้งครรภ์

การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในหญิงตั้งครรภ์เป็นปัญหาที่พบบ่อย เนื่องจากการตั้งครรภ์ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายรวมทั้งระบบทางเดินปัสสาวะ การที่มดลูกขยายตัวทำให้กดกระเพาะปัสสาวะ และท่อไต รวมทั้งในช่วงนี้ยังมีเลือดไหลเวียนเพิ่มมากขึ้น  

หากคุณกำลังตั้งครรภ์ และพบว่ามีอาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะแสบขัด  ปัสสาวะขุ่น  มีไข้สูง หนาวสั่น ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรักษา เนื่องจากการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนระหวางตั้งครรภ์ได้หลายอย่าง เช่น 

  • ทารกน้ำหนักน้อย  
  • ทารกเจริญเติบโตช้า  
  • ทารกมีโอกาสคลอดก่อนกำหนด   

การรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection: UTI)

การรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ จะรักษาด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะเป็นหลัก โดยอาจเป็นรูปแบบของยาเม็ดที่ต้องรับประทานอย่างต่อเนื่อง ในช่วงระยะเวลา 3-7 วันผล ซึ่งโดยปกติ การรับประทานยาปฏิชีวนะแบบเม็ดจะให้ผลดี และสามารักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะถึง 85-100 %

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

หากคุณเคยได้รับการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะมาแล้ว แพทย์อาจแนะนำให้เปลี่ยนยาปฏิชีวนะเป็นตัวอื่นที่แตกต่างจากตัวแรกสำหรับการรักษาอาการติดเชื้อในครั้งต่อไป เนื่องจากแบคทีเรียบางชนิดที่ก่อให้เกิดโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะนั้น อาจดื้อต่อยาปฏิชีวนะตัวเดิมได้

ยาปฏิชีวนะสำหรับโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

ปัจจุบันมียาปฏิชีวนะหลายชนิด ที่ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ หากคุณเป็นโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่ไม่ลุกลามไปถึงการติดเชื้อที่ไต แพทย์อาจจะสั่งยาในกลุ่มต่อไปนี้

  • Macrobid (nitrofurantoin monohydrate) – แมคโครบิด (ไนโตรฟูแรนโตอิน โมโนไฮเดรต)
  • Bactrim (trimethoprim and sulfamethoxazole) – แบคทริม (ไตรเมโทพริม และ ซัลฟาเมททอคซาโซล)
  • Selexid (pivmecillinam) – ซีเล็กส์สิด (พิฟเมคซิลลินัม)
  • Monurol (fosfomycin tromethamine) – โมนูรอล (โฟสโฟมัยซิน โทรเมททามีน)
  • Cipro (ciprofloxacin) – ซิโปร (ซิโปรฟลอกซาซิน)
  • Levaquin (levofloxacin) – ลีวาควิน (ลีโวฟล็อกซาซิน)
  • Augmentin (amoxicillin and clavulanate) – อ็อกเมนติน (แอมอกซี่ซิลิน และ คลาวูลาเนต)

สำหรับปัจจัยที่แพทย์จะเลือกว่า ควรใช้กลุ่มใดในการรักษาผู้ป่วยแต่ละราย จะมีดังต่อไปนี้ 

  • มีการติดเชื้อลามไปถึงไตหรือไม่
  • ไตของคุณมีความผิดปกติใด ๆ หรือไม่
  • คุณสามารถกินยาหลาย ๆ เม็ดต่อวันได้หรือไม่
  • ประวัติการแพ้ยา
  • ผลการเพาะเชื้อปัสสาวะ (หากมีการตรวจ และพบว่ามีการติดเชื้อ)

อย่างไรก็ตาม หากมีการติดเชื้อที่ค่อนข้างรุนแรง จนทำให้การติดเชื้อไปสู่ไต คุณอาจต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อรับยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำซึ่งอาจใช้เวลาในการรักษาเป็นเวลาหลายวัน

ถ้าคุณได้รับยาปฏิชีวนะในระยะเวลาที่ค่อนข้างรวดเร็วหลังมีอาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ก็จะสามารถบรรเทาอาการได้ภายใน 48 ชั่วโมง ซึ่งถ้าได้รับการรักษาช้า จะทำให้มีอาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะนานขึ้นกว่าเดิม

ยาอื่นๆ สำหรับโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

ในบางครั้งแพทย์อาจสั่งยาไพรีเดียม หรือ Pyridium (phenazopyridine) เป็นยาเสริมจากยาปฏิชีวนะ ซึ่งยาชนิดนี้สามารถซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป เพื่อใช้ลดอาการปวดบริเวณทางเดินปัสสาวะ

การกินไพรีเดียม 3 ครั้งต่อวัน เป็นระยะเวลา 2 วัน อาจช่วยบรรเทาอาการปัสสาวะแสบขัดในช่วงเริ่มต้น จนกว่ายาปฏิชีวนะจะออกฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ

การรักษาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่เกิดขึ้นซ้ำ

ในผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะในผู้หญิงอาจเกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งอาการดังกล่าวหมายความว่า มีการเกิดโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะมากกว่า 2 ครั้งใน 6 เดือน หรือมากกว่า 3 ครั้งใน 1 ปี

การลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดการติดเชื้อซ้ำ สามารถทำได้หลายวิธี ยกตัวอย่างเช่น การฝึกการรักษาความสะอาด โดยเช็ดทำความสะอาดหลังปัสสาวะหรืออุจจาระจากหน้าไปหลัง และการหลีกเลี่ยงการใช้สารทำลายเชื้ออสุจิ

การติดเชื้อ ESBL (อี เอส บี แอล)

การติดเชื้ออีกชนิดหนึ่งในทางเดินปัสสาวะที่รักษายาก และเป็นที่สนใจของแพทย์ ก็คือ การติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่ม Extended-Spectrum Beta-Lactamase (ESBL)-Producing organism (กลุ่มเชื้อโรคที่สร้างเบตาแลคแทมเมส) 

โดยการติดเชื้อโรคกลุ่มนี้จะทำให้ดื้อต่อยาปฏิชีวนะทั่วไปหลายชนิดที่ใช้รักษาโรคทางเดินปัสสาวะ

โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ จะรักษาด้วยยา Doribax (doripenem) หรือยาปฏิชีวนะชนิดอื่นในกลุ่ม Cabapenem

ภาวะแทรกซ้อนของการเกิดโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ

ส่วนมากการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะจะไม่ทิ้งร่องรอยความเสียหายไว้ หากได้รับการรักษาโดยเร็ว แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ดังต่อไปนี้

  1. เกิดความเสียหายต่อไตอย่างถาวร
  2. เกิดการติดเชื้อซ้ำ
  3. หากเกิดในหญิงตั้งครรภ์ โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่ทำให้ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือมีน้ำหนักแรกเกิดน้อย
  4. ทำให้ท่อปัสสาวะในผู้ชายตีบแคบลง
  5. อาจทำให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (sepsis) โดยเฉพาะในกรณีที่ติดเชื้อบริเวณไต (urosepsis) ซึ่งมีอันตรายถึงแก่ชีวิต

การป้องกันการเกิดโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

วิธีการต่อไปนี้ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้

  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอในแต่ละวันเพื่อช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียออกมาได้ง่ายขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะที่นานเกินไป
  • หลังปัสสาวะ หรืออุจาระ ควรทำความสะอาดให้ถูกวิธี โดยเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง
  • รีบถ่ายปัสสาวะโดยเร็ว หลังจากการมีเพศสัมพันธ์
  • หลีกเลี่ยงการใช้สารระงับกลิ่น อุปกรณ์ฉีดล้าง แป้ง หรือผลิตภัณฑ์ของผู้หญิงอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศ
  • เลือกใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นๆ แทนการใช้ห่วงคุมกำเนิด สารทำลายเชื้ออสุจิ หรือใช้ถุงยางอนามัยที่ไม่มีสารหล่อลื่น
  • ไม่ใส่ชุดชั้นในที่อับชี้น หรือคับแน่นจนเกินไป 
  • การดื่มน้ำแครนเบอร์รี หรือสารสกัดจากแครนเบอร์รี ซึ่งมีสารสำคัญที่เรียกว่า "PAC"  อาจขจัดแบคทีเรีย E.Coli และช่วยป้องกันการเกิดโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ แม้ว่าจะยังไม่มีการศึกษาที่ช่วยยืนยัน แต่การดื่มน้ำแครนเบอร์รีก็ไม่ได้ทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย ดังนั้นจึงสามารถดื่มได้

น้ำแครนเบอร์รี่กับโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

มีความเชื่อกันว่า น้ำแครนเบอร์รี่ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหวาน หรือ เครื่องดื่มค็อกเทล มีส่วนผสมที่ช่วยลดการยึดเกาะของแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ จึงทำให้แบคทีเรียถูกกำจัดได้ง่ายขึ้น 

ซึ่งแม้ว่าน้ำแครนเบอร์รี่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ว่ามีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ดีจริงหรือไม่ แต่การดื่มน้ำแครนเบอร์รี่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดโทษอะไร ดังนั้นถ้าคุณเป็นโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะซ้ำหลายครั้ง แพทย์อาจพิจารณาแนะนำคุณให้ดื่มน้ำแครนเบอร์รี่ก็ได้

เนื่องจากโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ หากเป็นแล้วแม้จะรักษาให้หายได้ แต่ก็มีโอกาสกลับมาเป็นได้ใหม่อีกหากมีพฤติกรรมเสี่ยง 

ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือ "ป้องกันตนเอง" ไม่ให้ติดเชื้อจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด รวมทั้งหมั่นสังเกตตนเอง หากมีความผิดปกติที่ระบบทางเดินปัสสาวะควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย  

ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพผู้หญิง ผู้ชายทุกวัย เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


15 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Bladder Infections: UTI Causes, Symptoms, Treatments. OnHealth. (Available via: https://www.onhealth.com/content/1/urinary_tract_infection_uti)
Urinary Tract Infection (UTI) and Cystitis (Bladder Infection) in Females: Practice Essentials, Background, Pathophysiology. Medscape. (Available via: https://emedicine.medscape.com/article/233101-overview)
Urinary Tract Infections: Causes, Symptoms & Treatment. Cleveland Clinic. (Available via: https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/9135-urinary-tract-infections)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

ดูคำถามและคำตอบอื่นๆ ที่เกี่ยวกับอาการนี้
เป็นไข้หวัดใหญ่ชนิดเดียวกันในช่วงๆเวลาใกล้กันได้หรือไม่คะ
คำถามนี้ได้การตอบจากแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา)
สงสัยคะทำไมคนไข้ส่วนใหญ่จะติดเชื้อในกระแสเลือดคะ
คำถามนี้ได้การตอบจากพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ
เชื้อ HPV เกิดขึ้นได้อย่างไร และสามารถติดต่อกันทางเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่ ถ้าได้..สามารถตรวจเช็คได้ทางไหนบ้าง
คำถามนี้ได้การตอบจากแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา)
ปัญหาสิวในวัย30+
คำถามนี้ได้การตอบจากแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา)
เรื่องความเข้มข้นของเลือดในการบริจาคเลือดค่ะ เคยบริจาคได้ แต่สองสามปีมานี้ ทั้งพักผ่อน อกล ก็ยังไม่สามารถบริจาคเลือดได้ค่ะ
คำถามนี้ได้การตอบจากแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา)
การใส่เหล้ก จำเป้นไหมไม่ที่ไม่ผ่าออก
คำถามนี้ได้การตอบจากแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา)