สวัสดีครับ คุณหมอ ผมมีเรื่องขอปรึกษา คุณหมอ หน่อยครับ ผมกับแฟน มี พสพ กันโดยใช้ถุงยาง ในช่วงเวลาที่แฟนหมดประจำเดือนวันสุดท้ายพอดี คือ วันที่23 ประจำเดือนมาช่วงวันที่ 17 ครับ พอดีว่าถุงยางแตกครับผม หลั่งภายใน ช่วงประมาณ เวลา 05.00 น ให้แฟนทาน ยาคุมฉุกเฉิน (จำยี่ห้อไม่ได้แล้ว) ไป1เม็ด ช่วง08.00 เม็ดที่สอง 21.00 หลังจากนั้นประมาณ 4วัน วันที่27 แฟนมีเลือดออกคล้ายประจำมาแต่ จางๆ 1คืน แล้วก็หาย จากนั้นประมาณ2สัปดาห์ ผม ซื้อที่ตรวจครรภ์ ตรวจในช่วงเช้าพึ่งตื่นนอนเข้าห้องครั้งแรก ปรากฏว่า ขึ้น Cขีด เดียว ผมคิดว่าไม่ตั้งครรภ์ แต่ พอ ถึงวันครบกำหนดที่ประจำเดือนจะมา วันที่17 กลับไม่มา มีอาการ ปวดท้องน้อย ปวดหลัง (บริเวณ เอว) และมี ตกขาว มามากกว่าปกติที่เคยมา แต่ไม่เจ็บนม ไม่คั้นเต้านม ผมจึงซื้อที่ตรวจครรภ์ มาตรวจอีกรอบ เปลี่ยนจากแบบหยดเป็นแบบผ่าน ปรากฏว่า Cขีดเดียว ครับ วันนี้ล่วงเลยเวลามา ถึงวันที่27 แล้วประจำเดือนยังไม่มา ผมควรทำอย่างไรดีครับ แล้ว แฟนผมตั้งครรภ์ หรือเปล่าครับ ถ้าไม่ตั้งครรภ์ แฟน สามารถ ทาน ยาสตรีเพื่อเร่นให้ประจำเดือนมา ได้หรือเปล่า ครับ ผมและแฟนเป็นกังวนมากครับ แฟนยังเรียนอยู่ ยังไม่ได้ แต่งงานครับ ขอบคุณ คุณหมอ ที่ให้คำปรึกษาด้วยน่ะครับ

สวัสดีครับ ในปัจจุบันนั้นชุดตรวจการตั้งครรภ์นั้นถือว่ามีความแม่นยำสูงมากครับ ถ้าหากตรวจได้อย่างถูกต้อง คือ ตรวจห่างจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 14 วันและใช้ปัสสาวะหลังตื่นนอนตอนเช้าในการตรวจก็จะให้ผลตรวจการตั้งครรภ์ที่เชื่อถือได้ถึง 97-99% ครับ และถ้าหากตรวจการตั้งครรภ์ในช่วงเวลาที่เหมาะสม 2 ครั้งห่างกันอย่างน้อย ก็ สัปดาห์ขึ้นไป โอกาสที่ผลตรวจจะผิดพลาดก็มีน้อยมากๆครับ ซึ่งจากรูปที่แนบมานั้นชุดตรวจการตั้งครรภ์ติดสีขึ้นมาเพียง 1 ขีด จึงแปลผลได้ว่าไม่มีการตั้งครรภ์ โอกาสที่จะมีการตั้งครรภ์จึงมีน้อยมากๆ แต่ถ้าหากยังไม่มั่นใจก็สามารถไปพบแพทย์เพื่อตรวจการตั้งครรภ์ยืนยันอีกครั้งหนึ่งได้ครับ ก็จะทำให้เชื่อมั่นในผลตรวจได้มากขึ้น สาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนมาช้านอกเหนือจากการตั้งครรภ์นั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุครับ เช่น - ไม่มีการตกไข่ในรอบเดือนที่ผ่านมา - ระดับฮอร์โมนในเลือดผิดปกติ - มีความผิดปกติของรังไข่หรือมดลูก - การออกกำลังกายอย่างหักโหม - ความเครียด - น้ำหนักตัวที่มากหรือน้อยเกินไป ในกรณีที่มีการขาดประจำเดือนไปหมอไม่แนะนำให้ซื้อยามารับประทานเองเพื่อขับประจำเดือนครับ แต่ควรไปพบแพทย์เพื่อประเมินอาการหาสาเหตุก่อน ซึ่งในทางปฏิบัตินั้นหากมีอาการขาดประจำเดือนไปเพียง 1-2 สัปดาห์ก็ยังไม่มีความจำเป็นต้องให้การรักษาเพิ่มเติมครับ(นอกจากจะมีการตั้งครรภ์) แต่ถ้าประจำเดือนขาดไปนาน 3 เดือนขึ้นไปก็จะถือเป็นการขาดประจำเดือนที่มีนับสำคัญทางการแพทย์ที่ควรได้รับการตรวจรักษาครับ