มีเพศสัมพันธ์กับแฟนในรอบปีกว่า ปกติปีก่อนที่มีอะไรกันจะใส่ถุงยางตลอด(แต่มีถูไถภายนอกบ้าง) ครั้งนี้(ค่ำวันศุกร์)เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้ใส่ถุงยาง หลังมีอะไรกันรู้สึกอวัยวะเพศบวมและเจ็บช้ำๆมากๆ(มีอะไรกันค่อนข้างจะนานนิดนึงค่ะ) ตอนเช้า(วันเสาร์)เหมือนจะดีขึ้นนิดแต่ยังเจ็บแสบอยู่ ตกบ่ายอาการเจ็บมากขึ้นและเริ่มมีน้ำไหลออกจากช่องคลอด(ตอนแรกนึกว่าเป็นประจำเดือนแต่ปรากฏว่าเป็นน้ำใสๆ ออกเหลืองนิดๆ) ตกค่ำ มีออกอีกครั้ง คราวนี้ออกเหลืองใส เหลว ปนน้ำตาลเลือดนิดๆ (อาการเจ็บยังไม่ดีขึ้น จะเจ็บช้ำๆในช่องคลอดเวลาไอค่ะ) มีแสบตรงปากช่องคลอดเวลาโดนน้ำนิดๆ วันอาทิตย์อาการเจ็บทุเลาลงแต่น้ำที่ออกมาเริ่มเป็นสีเขียวใส เหลว ไม่มีกลิ่น ไม่คัน ปัสสาวะปกติไม่มีขัด ออกมาค่อนข้างบ่อยและเยอะจนตกใส่แผ่นอนามัยไว้ค่ะ จนวันจันทร์ตัดสินใจไปพบหมอ คุณหมอสูติตรวจแล้ววินิจฉัยว่าเป็นเริมที่อวัยวะเพศ ตกขาวสีเขียวก็เกิดจากการอักเสบในช่องคลอดจากเริม ได้รับยา Valtrex 500mg มาทาน 7วันกับ Gynovir Cream มาทาค่ะ หลังจากนั้นวันต่อมาก็ไม่มีอาการเจ็บแสบช่องคลอดหรือปากช่องคลอดแล้วค่ะ แค่มีรู้สึกนิดๆว่าตรงแคมยังมีตุ่มบางๆ(ลูบไม่เจ็บ โดนน้ำไม่เจ็บ) แต่ว่าตอนนี้ผ่านมาหลายวันแล้วที่อวัยวะเพศไม่เจ็บแสบหรือมีตุ่มแต่ตกขาวสีเขียวก็ยังไหลไม่หยุด(ใช้คำว่สไหลเพราะเวลามันออกมาออกมาเป็นน้ำเหมือนประจำเดือนค่ะ) ตลอดเวลาที่เป็นไม่มีอาการคันตรงอวัยวะเพศเลยค่ะ ทั้งตกขาวก็ไม่มีกลิ่นเลย ไม่ทราบว่าตกขาวอย่างนี้เสี่ยงโรคอื่นอีกไหมคะ ควรกลับไปให้คุณหมอเช็คอีกครั้งดีไหมคะ ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำแนะนำนะคะ