June 11, 2018 16:14
ตอบโดย
จินตนา แสงโพธิ์ (เภสัชกร)
อ่านคำถามแล้วไม่แน่ใจว่าเขียนเดือนที่เริ่มยาผิดจาก 26 พ.ค. เป็น 26 มิ.ย. หรือยังไม่ได้เริ่มใช้ยาคุมรายเดือน แต่คาดว่าจะใช้ในวันที่ 26 มิ.ย. ที่ประจำเดือนน่าจะมาตามรอบกันแน่
ถ้าหมายถึงเริ่มรับประทานแล้วตั้งแต่ 26 พ.ค. ซึ่งเป็นวันแรกที่มีประจำเดือนมา ก็จะมีผลคุมกำเนิดได้ตั้งแต่เม็ดแรกที่รับประทานนะคะ สามารถมีเพศสัมพันธ์หลั่งในได้เลยค่ะ
แต่ถ้ายังไม่ใช้ยาคุมรายเดือน และรอให้ประจำเดือนมาในรอบหน้าจึงจะเริ่มใช้ ระหว่างที่รอ แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์นะคะ เพราะการหลั่งนอก เป็นวิธีคุมกำเนิดที่มีโอกาสผิดพลาดและตั้งครรภ์ได้สูงถึง 22% ค่ะ
และยาคุมฉุกเฉินก็ไม่ควรนำมาใช้แทนวิธีคุมกำเนิดปกติ เพราะต่อให้รับประทานเร็วแค่ไหน ก็ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ได้อย่างน้อย 15% นะคะ (งานวิจัยใหม่ ๆ ชี้ว่าตัวเลขอาจสูงหรือต่ำกว่านี้มากค่ะ ขึ้นกับว่ายาไปยับยั้งไข่ตกได้ทันหรือไม่ และไข่ที่ตกไปแล้วมีการผสมกับอสุจิไปแล้วหรือเปล่า)
สำหรับการตอบในประเด็นที่ถามนะคะ
1. วิธีคุมกำเนิดชั่วคราว มีให้เลือกหลายวิธี หากพิจารณาจากโอกาสในการตั้งครรภ์ จะมีดังนี้ค่ะ
- ยาเม็ดคุมกำเนิด มีโอกาสตั้งครรภ์ 0.3 - 9%
- ยาฉีดคุมกำเนิด มีโอกาสตั้งครรภ์ 0.2 - 6%
- แผ่นแปะคุมกำเนิด มีโอกาสตั้งครรภ์ 0.3 - 9%
- ยาฝังคุมกำเนิด มีโอกาสตั้งครรภ์ 0.05%
- ห่วงอนามัย มีโอกาสตั้งครรภ์ 0.2 - 0.8% (และยังแตกต่างกันตามชนิดของห่วงอนามัยที่ใช้)
ตัวเลขความเสี่ยงที่ต่ำกว่า หมายถึงประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ที่สูงกว่าค่ะ หากมองในแง่ประสิทธิภาพ จึงควรเลือกวิธีที่จะมีโอกาสตั้งครรภ์ต่ำที่สุดเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อม
อย่างไรก็ตาม แต่ละวิธีก็มีข้อจำกัดการใช้, จุดเด่น และผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน แนะนำให้ไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมและพิจารณาว่าควรใช้วิธีคุมกำเนิดใดจึงจะเหมาะสมนะคะ
การใช้วิธีคุมกำเนิดแบบฉีดหรือวิธีใด ๆ ก็ตาม หากใช้ในเวลาที่เหมาะสม เช่น ภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน (บางวิธียืดเวลาเป็น 7 วัน) จะมีผลคุมกำเนิดได้เลยค่ะ
แต่ถ้าใช้ไม่ทันช่วงเวลาดังกล่าว ก็ใช้ได้ในกรณีที่ไม่มีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์อยู่ก่อนที่จะใช้ยา แต่จะต้องงดมีเพศสัมพันธ์ หรือคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วยไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง เช่น 7 วันหลังฉีดยาคุมกำเนิด เป็นต้น (ระยะเวลาอาจแตกต่างจากนี้สำหรับยาคุมบางชนิด)
2. เมื่อต้องการมีบุตร ก็ให้หยุดคุมกำเนิดได้เลยค่ะ เมื่อมีการตั้งครรภ์ในภายหลัง ยาคุมที่เคยใช้ในอดีตไม่มีผลกระทบต่อเด็กในครรภ์ค่ะ ไม่ต้องกังวลนะคะ
ทุกวิธีคุมกำเนิดที่กล่าวมา ไม่ได้ทำให้มีบุตรยากในอนาคต นั่นหมายถึง อัตราการตั้งครรภ์ภายใน 1 ปีของผู้ที่เลิกคุมกำเนิดด้วยวิธีต่าง ๆ ที่กล่าวมา ไม่ได้แตกต่างจากผู้ที่ไม่เคยคุมกำเนิดมาก่อนค่ะ
ถ้าเคยใช้ยาฉีดคุมกำเนิดชนิด 3 เดือน โดยเฉพาะเมื่อใช้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน อาจมีผลให้กลับมามีไข่ตกและตั้งครรภ์ได้ช้ากว่าวิธีอื่น ๆ แต่เมื่อดูภาพรวมใน 1 ปี ก็ไม่แตกต่างกันค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ขอบคุณมากคะจะลองไปปรึกษาคลินิกดูค่ะ
สอบถามเรื่องคุมกำเนิดคะ ก่อนหน้านี้ไม่เคยกินยาคุมมาก่อน และเริ่มมีเพศสัมพันธ์เมื่อต้นเดือนมิ.ย.ครั้งแรกกินยาคุมฉุกเฉินไป แต่ประจำล่าสุดมา 26 พ.ค. ตั้งใจอยากคุมกำเนิด แต่ยาเม็ดคุมกำเนิดเม็ดแรกเขาให้กินวันแรกของการมีประจำเดือนก้อคือเริ่มกินได้ 26 มิ.ย.เลย ในระหว่างนี้ใช้การหลั่งนอกแทนอยู่ค่ะ จึงอยากสอบถามว่า 1.ถ้ายังไม่อยากมีบุตรต้องคุมแบบไหนดีค่ะฉีดหรือกินยา และถ้าฉีดคือคุมได้เลยใช่ไหมคะ 2.ถ้ามีโอกาสตั้งครรภ์ การฉีดยาคุมจะมีผลกับเด็กมั้ยค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)