กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD
พญ.รุจิรา เทียบเทียม
ตรวจสอบความถูกต้องโดย
พญ.รุจิรา เทียบเทียม

ยาคุมแผงแรก มีผลเมื่อไหร่

ใช้ยาคุมนานแค่ไหน จึงจะมีผลคุมกำเนิดได้
เผยแพร่ครั้งแรก 4 ม.ค. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 ม.ค. 2023 ตรวจสอบความถูกต้อง 15 ก.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 4 นาที
ยาคุมแผงแรก มีผลเมื่อไหร่

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • ระยะเวลาที่ยาคุมกำเนิดจะออกฤทธิ์ ขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 อย่าง ได้แก่ เวลาที่เริ่มใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด (ไม่ใช่เม็ดยาหลอก) และชนิดของยาเม็ดคุมกำเนิด
  • ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว หากรับประทาน “ภายใน 5 วันแรก” ของรอบเดือน จะมีผลคุมกำเนิดได้ทันที แต่หากรับประทาน “ภายหลัง 5 วันแรก” ของรอบเดือนจะมีผลคุมกำเนิดเมื่อรับประทานครบ 2 วัน
  • ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม หากรับประทาน “ภายใน 5 วันแรก” ของรอบเดือน จะมีผลคุมกำเนิดได้ทันที แต่หากรับประทาน “ภายหลัง 5 วันแรก” ของรอบเดือน จะมีผลคุมกำเนิดเมื่อรับประทานครบ 7 วัน
  • ไม่ว่ายาคุมชนิดใดก็ตาม ให้พิจารณาจากการใช้ยาเม็ดฮอร์โมนเป็นหลัก ไม่ใช่ยาเม็ดหลอก และต้องระมัดระวังเกี่ยวกับเวลารับประทานยาคุมกำเนิดให้ดี เพราะหากพลาดตั้งครรภ์ระหว่างรับประทานยาในภายหลัง จะส่งผลให้ทารกพิการแต่กำเนิดได้ 
  • เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจก่อนแต่งงาน

หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่า วิธีการรับประทานยาคุมอย่างถูกต้องเป็นแบบไหนกันแน่ แล้วต้องรับประทานนานแค่ไหน ความแตกต่างระหว่างยาคุมแต่ละแบบส่งผลอย่างไรต่อการคุมกำเนิดบ้าง และที่สำคัญคือ ยาคุมที่รับประทานเข้าไป จะเริ่มออกฤทธิ์คุมกำเนิดเมื่อไร

ต้องใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดไปนานแค่ไหน กว่าที่จะมีผลคุมกำเนิดได้?

คำตอบคือ เมื่อรับประทานครบ 1 แผง ครบ 15 วัน ครบ 7 วัน ครบ 2 วัน และคุมได้ตั้งแต่เม็ดแรกที่รับประทาน

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

ทำไมการกินยาคุมแต่ละแบบจึงต่างกัน?

นั่นก็เพราะผลในการคุมกำเนิดอาจแตกต่างกันไปในแต่ละสถานการณ์ เช่น ใช้ยาคุมยี่ห้อเดียวกันแต่ต่างช่วงเวลา ก็อาจให้ผลไม่เหมือนกัน หรือหากเริ่มใช้ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่ต่างยี่ห้อก็อาจให้ผลที่ต่างกันได้

ระยะเวลาที่ผลการคุมกำเนิดจากยาจะออกฤทธิ์

ผลในการคุมกำเนิดจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ สามารถพิจารณาได้จาก

  • เวลาที่เริ่มใช้
  • ชนิดของยาเม็ดคุมกำเนิด

สรุปได้ ดังนี้

ยาคุมชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยว

ยาฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยว เช่น เอ็กซ์ลูตอน (Exluton) เดลิตอน (Dailyton) ซีราเซท (Cerazette) จะมีผลการคุมกำเนิดต่างกันออกไป โดยขึ้นอยู่กับเวลาที่กิน ดังนี้

  • เริ่มใช้ภายใน 5 วันแรกของรอบเดือน จะมีผลคุมกำเนิดได้ทันทีตั้งแต่เม็ดแรกที่กิน
  • เริ่มใช้หลังจาก 5 วันแรกของรอบเดือน จะมีผลคุมกำเนิดเมื่อกินครบ 2 วัน

ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวม

ยาคุมฮอร์โมนรวม (ส่วนมาก) จะมีความแตกต่างของผลคุมกำเนิด ดังต่อไปนี้

  • เริ่มใช้ภายใน 5 วันแรกของรอบเดือน จะมีผลคุมกำเนิดได้ทันทีตั้งแต่เม็ดแรกที่กิน
  • เริ่มใช้หลังจาก 5 วันแรกของรอบเดือน มีผลคุมกำเนิดเมื่อรับประทานติดต่อกันครบ 7 วัน

ทั้งนี้อาจมียาบางตัว หรือบางชื่อการค้าที่ให้ผลแตกต่างกันออกไป ควรปรึกษาเภสชักร หรือแพทย์ก่อนรับประทานยาคุม

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมแบบเริ่มจากแถบสีแดง

ยาคุมฮอร์โมนที่ระบุ “ให้เริ่มรับประทานจากส่วนที่เป็นแถบสีแดงของแผงก่อนเสมอ” เช่น ไมโครไกนอน 30 อีดี (Microgynon 30 ED) ไกเนรา อีดี (Gynera ED)  และไตรควิล่าร์ อีดี (Triquilar ED) 

มีผลในการคุมกำเนิดดังนี้

  • เริ่มใช้ภายใน 5 วันแรกของรอบเดือน มีผลคุมกำเนิดได้ตั้งแต่ “เม็ดยาฮอร์โมน” เม็ดแรกที่รับประทานในช่วงเวลานี้
  • เริ่มใช้หลังจาก 5 วันแรกของรอบเดือน มีผลคุมกำเนิดเมื่อรับประทาน “เม็ดยาฮอร์โมน” ติดต่อกันครบ 7 วัน

อันที่จริง ไม่ว่าจะเป็นยาคุมชนิดใดก็ล้วนแต่ใช้หลักเกณฑ์เดียวกันคือ พิจารณาที่การใช้ “เม็ดยาฮอร์โมน” เป็นหลัก แต่เนื่องจากยาคุมส่วนมาก จะให้ผู้ใช้เริ่มต้นรับประทาน “เม็ดยาฮอร์โมน” ก่อนอยู่แล้ว จึงเข้าใจได้ง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องระบุให้ละเอียด

แตกต่างจากผู้ที่ใช้ยาคุมยี่ห้อไมโครไกนอน 30 อีดี ยาไกเนรา อีดี และยาไตรควิล่าร์ อีดี ซึ่งยาเม็ดแรกๆ ที่รับประทานอาจเป็น “เม็ดยาหลอก” ทำให้ยังไม่มีผลในการคุมกำเนิดได้

โดยยาคุม 3 ยี่ห้อที่กล่าวไว้ด้านบนจะมีแถบสีแดงบนแผง และมีคำแนะนำที่ระบุว่า “ให้เริ่มต้นจากส่วนสีแดงของแผงก่อนเสมอ” 

นอกจากจะทำให้สังเกตได้ง่ายว่า ประจำเดือนจะมาในช่วงที่เป็นแถบสีแดงของแผงต่อไปแล้ว ก็ยังเป็นการบังคับให้ประจำเดือนมาไม่ตรงกับวันเสาร์-อาทิตย์อีกด้วย

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

เม็ดยาที่อยู่ในแถบสีแดง จะมีทั้ง “เม็ดยาฮอร์โมน” และ “เม็ดยาหลอก” หากผู้ใช้เริ่มใช้ในวันจันทร์-ศุกร์ ก็จะได้รับประทานยาเม็ดสีขาวซึ่งเป็น “เม็ดยาหลอก”  และเนื่องจากไม่มีตัวยาฮอร์โมน ผลในการคุมกำเนิดจึงยังไม่เกิดขึ้นนั่นเอง

สำหรับใครที่ยังไม่เข้าใจ จะมีกรณีตัวอย่างให้ทั้งหมด 3 กรณี คือ

กรณีที่ 1 

ประจำเดือนมาในวันจันทร์ แม้จะเริ่มรับประทานยาคุมในวันนั้น แต่เนื่องจาก 5 เม็ดแรกที่รับประทานเป็น “เม็ดยาหลอก” ทั้งหมด และกว่าจะได้รับประทาน “เม็ดยาฮอร์โมน” ก็เป็นวันที่ 6 แล้ว จึงทำให้ใช้ “เม็ดยาฮอร์โมน” ไม่ทัน 5 วันแรกของรอบเดือน 

ดังนั้นผลในการคุมกำเนิดจะเกิดขึ้น เมื่อมีการใช้ “เม็ดยาฮอร์โมน” ติดต่อกันครบ 7 วันแล้ว

กรณีที่ 2 

ประจำเดือนมาในวันพุธและเริ่มใช้ยาคุมเลย แต่ใน 3 วันแรกที่รับประทานยา ซึ่งได้แก่ วันพุธ วันพฤหัสบดี และวันศุกร์ จะยังไม่มีผลในการคุมกำเนิด เพราะยาที่ใช้เป็น “เม็ดยาหลอก” 

อย่างไรก็ตาม “เม็ดยาฮอร์โมน” เม็ดแรกที่ใช้ในวันเสาร์ ยังอยู่ในช่วง 5 วันแรกของรอบเดือน ดังนั้นผลในการคุมกำเนิดจึงเกิดขึ้นเมื่อรับประทานยาในวันเสาร์

กรณีที่ 3 

ประจำเดือนมาในวันเสาร์ และเริ่มใช้ยาเลย เนื่องจากยาเม็ดแรกที่รับประทานเป็น “เม็ดยาฮอร์โมน” จึงให้ผลการคุมกำเนิดได้ทันที

ยาคุมแผงแรก หากเริ่มใช้ไม่ทันวันที่ 1-5 ที่มีประจำเดือน ก็ยังสามารถใช้ได้ เพียงแต่ต้องมั่นใจว่า ไม่มีการตั้งครรภ์อยู่ในขณะนั้น มิฉะนั้น อาจเสี่ยงต่อความพิการของทารกในครรภ์ได้

เนื่องจากผลในการคุมกำเนิดจะเกิดขึ้นหลังจากที่มีการใช้ “เม็ดยาฮอร์โมน” ติดต่อกันระยะหนึ่ง ดังนั้นผู้ที่ใช้ยาคุมชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยว ได้แก่ เอ็กซ์ลูตอน, เดลิตอน และซีราเซท จึงต้องใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย หากมีเพศสัมพันธ์ใน 2 วันแรกที่เริ่มรับประทานยา

ส่วนผู้ที่ใช้ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวม ต้องใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย หากมีเพศสัมพันธ์ใน 7 วันแรกที่เริ่มรับประทานยา

อย่างไรก็ตาม การคุมกำเนิด ไม่มีวิธีใดมีผล 100% สำหรับยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน หากรับประทานอย่างถูกต้องจะช่วยคุมกำเนิดได้ 92.8% สำหรับชนิดฮอร์โมนรวม และคุมได้ 91% สำหรับชนิดฮอร์โมนเดี่ยว 

หากต้องการให้ประสิทธิภาพการคุมกำเนิดสูงขึ้น ควรใช้วิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การใส่ห่วงอนามัย การใช้ถุงยางอนามัย 

สำหรับยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน ยังสามารถให้ผลดีอื่นๆแก่ผู้รับประทานได้ เช่น การลดสิว ลดขน และลดถุงน้ำรังไข่บางชนิด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระดับฮอร์โมนกลุ่ม Progestin

เพียงเท่านี้ คุณก็คงพอจะเข้าใจระยะเวลาที่ฤทธิ์ยาคุมกำเนิดจะให้ผลได้แล้ว หรือหากไม่เข้าใจ ก็สามารถสอบถามเภสัชกรได้โดยตรง 

แต่อีกสิ่งที่คุณจะต้องไม่ลืมและต้องย้ำเตือนตนเองอยู่เสมอคือ คุณจะต้องมีวินัยในการรับประทานยาคุมอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้ผลการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพ

เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจก่อนแต่งงาน จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกการอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


7 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
WebMD, How long does it take for birth control pills to work? (https://www.webmd.com/sex/birth-control/qa/how-long-does-it-take-for-birth-control-pills-to-work), 20 January 2020.
Progestin-only hormonal birth control: Pill and injection. (2014, July). (http://www.acog.org/Patients/FAQs/Progestin-Only-Hormonal-Birth-Control-Pill-and-Injection), 21 January 2020.

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป
เปรียบเทียบวิธีคุมกำเนิด และประสิทธิภาพ
เปรียบเทียบวิธีคุมกำเนิด และประสิทธิภาพ

ตารางเปรียบเทียบวิธีคุมกำเนิดในรูปแบบต่างๆ มีประสิทธิภาพในการป้องกันอย่างไร ราคาเท่าไหร่ ใช้งานง่ายหรือยาก อ่านเลย!

อ่านเพิ่ม