มีอะไรกันกับแฟนโดยไม่ได้ป้องกัน วันที่ 2 ม.ค. หลังจากนั้นให้แฟนกินยาคุมฉุกเฉิน หลังจากมีอะไรกันประมาณ 1 ชม. และในวันที่ 7 ม.ค. มีเลือดไหลออกจากช่องคลอด เล็กน้อย วันถัดมา วันที่ 8 ม.ค. แฟนบอกว่าเลือดไหลออกมาปริมาณเหมือนตอนเป็นประจำเดือน ปวดท้องเหมือนเป็นประจำเดือนอยากทราบว่า 1.เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาคุมฉุกเฉินไหมครับ 2.หรือเป็นประจำเดือนที่มาเร็วกว่าปกติจากการใช้ยาคุมฉุกเฉินแล้วแฟนผมจะท้องไหมครับ 3.แล้วถ้าเป็นผลจากยาคุมฉุกเฉินที่กล่าวมาในข้อที่ 1 ประจำเดือนจริงจะมาในช่วงไหนครับ (ประจำเดือนเดือนที่แล้วมาวันที่ 27 ธ.ค. หมดประมาณวันที่ 30-31 ธ.ค. ครับ)

1.อาจเกิดได้จากผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิดครับ โดยปกติอาจมีเลือดออกได้หลังทานยา1-7วันครับ

2.ยาคุมฉุกเฉินป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ80-85% จึงยังมีโอกาสตั้งครรภ์ครับ
จึงควรตรวจการตั้งครรภ์หลังเสี่ยงตั้งแต่14วันขึ้นไป
และ ประจำเดือนอาจมาช้ากว่าปกติได้หลังใช้ยาแต่ไม่ควรเกิน7วัน แนะนำให้สังเกตุรอบเดือนตามปกติครับ ว่ามาหรือไม่

3.ประจำเดือนอาจมาในช่วงเดียวกัน หากเป็นคนที่ประจำเดือนมาตรงรอบ อาจมาก่อนหรือหลังรอบปกติได้ไม่ต่างกันเกิน7วันครับ

ถ้าไม่มีการตั้งครรภ์ ผู้ใช้ยาคุมฉุกเฉินส่วนใหญ่จะมีประจำเดือนมาตรงตามรอบปกติเดิม หรือคลาดเคลื่อนเพียงไม่กี่วันค่ะ ซึ่งประจำเดือนปกติควรจะมีปริมาณมากจนชุ่มผ้าอนามัย 2 - 3 แผ่น/วัน และมาต่อเนื่องกัน 3 - 7 วันนะคะ

ส่วนเลือดที่เป็นผลข้างเคียงจากยา เป็นเพียงหยดเลือดซึม หรือเลือดออกกะปริบกะปรอย ไม่ได้มามากจนชุ่มผ้าอนามัยค่ะ อาจพบภายใน 7 วันหลังรับประทาน หรืออาจไม่พบเลยก็ได้ ไม่ได้สำคัญอะไร

1. เลือดที่ออกมาในครั้งนี้ ซึ่งพบภายใน 7 วันหลังรับประทานยาคุมฉุกเฉิน และห่างจากวันแรกที่มีประจำเดือนรอบล่าสุดเพียง 11 วัน จึงไม่ควรจะเป็นเลือดประจำเดือนค่ะ

แต่ถ้ามีปริมาณมากเท่ากับประจำเดือนปกติ นั่นคือ มามากจนชุ่มผ้าอนามัย ก็ถือว่าผิดปกติมาก ไม่น่าจะเป็นผลข้างเคียงจากยาคุมฉุกเฉินเช่นกัน

2. ยาคุมฉุกเฉินไม่ใช่ยาเร่งประจำเดือน จึงไม่ควรจะเป็นสาเหตุที่ทำให้มีประจำเดือนมาเร็วผิดปกติ โดยมาห่างจากวันแรกที่มีประจำเดือนรอบก่อนเพียง 11 วันนะคะ

ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการมีเลือดออกผิดปกติดังกล่าว แต่เนื่องจากเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตรายจากการเสียเลือดมาก จึงควรไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมหาสาเหตุที่แท้จริง และพิจารณาการรักษาที่เหมาะสม

และเนื่องจากยังไม่แน่ชัดว่าเลือดดังกล่าวเป็นประจำเดือน จึงถือว่ายังมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 15 - 25% ตามผลป้องกันของยาคุมฉุกเฉิน หากมีการใช้ครบขนาดและทันเวลาค่ะ

ซึ่งถ้าไม่มีประจำเดือนมาตามรอบปกติเดิม หรือถ้ากังวลว่าจะตั้งครรภ์ ก็สามารถตรวจให้ชัดเจนได้ โดยใช้ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ทางปัสสาวะ ตรวจในตอนเช้าหลังตื่นนอน ห่างจากวันที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดอย่างน้อย 14 วันนะคะ

3. ไม่ทราบรอบประจำเดือนของแฟนผู้ถาม และไม่ทราบประวัติว่าที่ผ่านมามีประจำเดือนมาตรงเวลาสม่ำเสมอหรือไม่ จึงไม่สามารถจะระบุวันเวลาที่ควรจะมีประจำเดือนมาในรอบนี้ได้ค่ะ

แต่ผู้ถามและแฟนสามารถคาดการณ์คร่าว ๆ ได้ โดยพิจารณาจากระยะห่างของวันแรกที่มีประจำเดือนรอบหนึ่งไปหาอีกรอบหนึ่ง จากประวัติการมีประจำเดือนย้อนหลัง 3 - 6 เดือนที่ผ่านมา เมื่อทราบ "รอบประจำเดือน" แล้ว ให้นับต่อจากวันที่ 27 ธันวาคม ไปตามระยะเวลาดังกล่าว ก็จะได้วันที่คาดว่าจะมีประจำเดือนรอบนี้ค่ะ

1. เป็นการรับประทานยาคุมฉุกเฉินที่เร็วและครบขนาดค่ะ ถ้าไม่ได้อาเจียนภายใน 2 ชั่วโมงหลังรับประทานยา ก็น่าจะช่วยลดความเสี่ยงได้บ้าง

แต่ยาคุมฉุกเฉินไม่ได้มีประสิทธิภาพสูงเหมือนกับวิธีคุมกำเนิดมาตรฐาน ดังนั้น การนำมาใช้แทนวิธีคุมกำเนิดปกติดังกล่าว จึงถือว่าไม่เหมาะสม และเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ได้มากกว่าที่ควรจะเป็นนะคะ

ครั้งต่อไปที่จะมีเพศสัมพันธ์ ถ้าแฟนของผู้ถามไม่ได้คุมกำเนิดด้วยวิธีคุมกำเนิดมาตรฐานใด ๆ อยู่ และยังไม่พร้อมจะมีบุตร ผู้ถามควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งนะคะ

2. ตามข้อมูลที่ระบุในหัวข้อคำถามว่า "แฟนบอกว่าเลือดไหลออกมาปริมาณเหมือนตอนเป็นประจำเดือน" และข้อมูลที่ให้มาเพิ่มเติมว่า "เลือดที่ไหลออกมาไม่เยอะมาก" ไม่มั่นใจว่า "เลือดที่ออกมาในช่วงปลายเดือนธันวาคม และในช่วงปัจจุบัน ต่างก็มีปริมาณน้อย ไม่ได้เปียกชุ่มผ้าอนามัยเลย" หรือว่า "เลือดที่ออกมาทั้งสองรอบ มีปริมาณมากจนชุ่มผ้าอนามัย แต่ไม่มากถึง 2 - 3 แผ่น/วัน"

หากเป็นในกรณีแรก ก็ต้องสงสัยว่าเลือดที่ออกมาในช่วงปลายเดือนธันวาคมอาจไม่ใช่ประจำเดือนนะคะ แต่ยังไม่ทราบสาเหตุที่ประจำเดือนไม่มาตามปกติ ซึ่งถ้ามีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ไปก่อนหน้านั้นแล้ว ก็ควรตรวจการตั้งครรภ์ให้ชัดเจนค่ะ

แต่ถ้าเป็นในกรณีหลัง ถือว่าผิดปกติที่จะมีเลือดออกมามากจนชุ่มผ้าอนามัยห่างกัน 11 - 12 วัน ซึ่งไม่น่าจะเป็นผลข้างเคียงจากยาคุมฉุกเฉิน จึงควรไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมหาสาเหตุของการมีเลือดออกผิดปกติดังกล่าว และพิจารณาการรักษาที่เหมาะสมเพื่อป้องกันไม่ให้เสียเลือดมากจนส่งผลเสียต่อสุขภาพนะคะ