กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD
ทีมแพทย์ HD
ตรวจสอบความถูกต้องโดย
ทีมแพทย์ HD

ยาฝังคุมกำเนิด

ฝังเข็มคุมกำเนิดคืออะไร มีข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร?
เผยแพร่ครั้งแรก 18 ก.ย. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 8 ก.ค. 2019 เวลาอ่านประมาณ 3 นาที
ยาฝังคุมกำเนิด

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • ยาฝังคุมกำเนิด เป็นวิธีคุมกำเนิดผ่านการฝังหลอดยาซึ่งบรรจุฮอร์โมนโปรเจสตินเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณท้องแขน เพื่อทำให้ร่างกายไม่เกิดการตกไข่ เยื่อเมือกปากมดลูกเหนียวจยอสุจิผ่านเข้าไปได้ยาก
  • ยาฝังคุมกำเนิดสามารถออกฤทธิ์ได้ทันที หากฝังยาคุมในช่อง 5 วันแรกที่มีประจำเดือน และมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับปริมาณยา เมื่อยาหมดฤทธิ์แล้วก็สามารถฝังยาใหม่ได้อีก
  • ยาคุมกำเนิดมีประโยชน์มากกว่าแค่การคุมกำเนิด เช่น ไม่ส่งผลต่อการทำงานของตับ ไม่เป็นอันตรายต่อทารก จึงสามารถใช้ในระหว่างให้นมบุตรได้ ลดการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน อีกทั้งฮอร์โมนในยาไม่สะสมในร่างกาย
  • ยาคุมกำเนิดมีผลข้างเคียงบางอย่าง เช่น อาจทำให้อารมณ์แปรปรวน สิวขึ้น มีตกขาวมาก และควรระมัดระวังในการใช้กับกลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น ผู้ป่วยโรคตับอักเสบ โรคมะเร็งเต้านม โรคหลอดเลือดสมอง ผู้ที่มีอาการไมเกรน
  • ยาคุมกำเนิดแบบฝังบางชนิดส่งผลต่อยาต้านเชื้อไวรัส HIV ยารักษาวัณโรค และยากันชักได้ ทางที่ดีก่อนเข้ารับการฝังยาคุม คุณควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับการฝังยาคุม และตรวจสุขภาพของตนเองก่อน (ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพผู้หญิง ผู้ชายทุกวัยได้ที่นี่)

วิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวมีหลายทางด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นใช้ถุงยางอนามัย หรือการรับประทานยาคุมกำเนิด ซึ่งล้วนเป็นวิธีป้องกันที่ปลอดภัย และลดโอกาสตั้งครรภ์ได้สูง 

อย่างไรก็ตาม หากวันไหนคุณลืมคุมกำเนิดขึ้นมา ก็อาจพลาดท่าท้องได้เหมือนกัน ดังนั้นการใช้ยาฝังคุมกำเนิด หรือการฝังเข็มคุมกำเนิด จึงเป็นอีกวิธีคุมกำเนิดที่น่าสนใจ เพราะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 100% และยังออกฤทธิ์ได้นานหลายปีด้วย

นิยามของยาฝังคุมกำเนิด

ยาฝังคุมกำเนิด หรือ การฝังเข็มคุมกำเนิด (Contraceptive Implant) เป็นวิธีการคุมกำเนิดชั่วคราว โดยใช้หลอดยาเล็กๆ ขนาดไม่เกิน 4.3 x 0.25 เซนติเมตร ฝังเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณท้องแขน 

โดยในหลอดยานั้นบรรจุฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) เพียงชนิดเดียว ซึ่งทำให้ร่างกายไม่เกิดการตกไข่ ส่งผลให้เยื่อเมือกที่ปากมดลูกเหนียวข้น จนอสุจิผ่านเข้าไปได้ยาก และทำให้ผนังมดลูกบางลง ไข่ที่ได้รับการผสมจะไม่สามารถเกาะผนังมดลูกได้

การออกฤทธิ์ของยาฝังคุมกำเนิด    

หากทำการฝังยาคุมกำเนิดในช่วง 5 วันแรกที่มีประจำเดือน ยาจะสามารถออกฤทธิ์คุมกำเนิดได้ทันที แต่หากฝังหลังจากนั้น หรือหลังหมดประจำเดือน ยาจะสามารถคุมกำเนิดได้หลังการฝังอย่างน้อย 7 วัน ในระหว่างนี้ หากมีเพศสัมพันธ์จึงควรใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย

หลังจากตั้งครรภ์ สามารถฝังยาคุมกำเนิดได้ทันทีหลังการให้กำเนิด หรือแท้งบุตร

วิธีการฝังยาคุมกำเนิด

การฝังยาคุมกำเนิดจะทำบริเวณท้องแขนข้างที่ไม่ถนัด โดยขั้นแรกแพทย์จะทำความสะอาดผิวหนัง และฉีดยาชาที่บริเวณดังกล่าว จากนั้นจะใช้เข็มเปิดแผล และสอดหลอดยาเข้าไปใต้ผิวหนัง เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงนำเข็ม และแท่งนำหลอดยาออกมา แล้วปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ ตามด้วยผ้าพันแผล 

หลังการฝังยาคุมกำเนิด 24 ชั่วโมง เราสามารถนำผ้าพันแผลออกได้ ส่วนพลาสเตอร์ให้แปะไว้อีก 3-5 วัน แล้วจึงเอาออก ระหว่างนั้นให้ดูแลความสะอาดของแผลให้ดี และหากปวดแผล ให้รับประทานยาแก้ปวดที่แพทย์ให้

ระยะเวลาการอยู่ของยาฝังคุมกำเนิด

ยาฝังคุมกำเนิดมีอายุการใช้งาน 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับปริมาณยา หากยาหมดอายุแล้ว ก็สามารถนำออก และฝังยาใหม่ได้ หรือหากต้องการนำยาฝังออกก่อนหมดอายุ ก็สามารถให้แพทย์เอาออกให้ได้ โดยแพทย์จะฉีดยาชาบริเวณที่ฝัง จากนั้นกรีดแผลเล็กๆ และคีบหลอดยาออก ตามด้วยการทำแผลตามปกติ

ข้อดีของยาฝังคุมกำเนิด

  • สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ดีกว่าการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น รวมถึงไม่จำเป็นต้องใช้ถุงยางอนามัยหรือรับประทานยาคุมร่วมด้วย
  • คุมกำเนิดได้ยาวนานถึง 3-5 ปี
  • เป็นวิธีที่ปลอดภัย จึงสามารถทำได้หลังคลอดบุตร หรือระหว่างให้นมบุตร โดยไม่เป็นอันตรายต่อแม่ และเด็ก
  • ช่วยลดอาการปวดประจำเดือนในช่วงปีแรกหลังฝังยาคุมกำเนิด อีกทั้งช่วยให้ปริมาณประจำเดือนน้อยลงด้วย
  • ผลจากฮอร์โมนทำให้แบคทีเรียเข้าสู่ช่องคลอดได้ยากขึ้น จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานได้
  • ลดความเสี่ยงต่อความผิดปกติต่างๆ เช่น การท้องนอกมดลูก และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
  • ฮอร์โมนจะกระจายในปริมาณน้อย และไม่เกิดการสะสมในร่างกาย หลังนำยาฝังคุมกำเนิดออกจึงสามารถกลับมาตั้งท้องได้เร็วกว่าการฉีดยาคุม
  • ไม่ส่งผลต่อการทำงานของตับ
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดรับประทานแล้วลืมบ่อย และผู้ที่แพ้ฮอร์โมนเอสโตรเจน

ข้อเสียของยาฝังคุมกำเนิด

  • การฝังและถอดยาคุมกำเนิดอาจรู้สึกเจ็บ และต้องให้แพทย์เป็นผู้กระทำ ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง
  • ประจำเดือนอาจมาไม่ปกติ ในช่วงปีแรกของการฝังยาคุมกำเนิด
  • หลอดยาที่ฝังอาจเลื่อนหลุดจากตำแหน่งเดิม จนต้องเปิดแผลเพื่อแก้ไขใหม่ 
  • ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
  • ยาบางชนิดมีผลต่อประสิทธิภาพของการคุมกำเนิด โดยเฉพาะยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวี ยารักษาวัณโรค และยากันชัก

ผลข้างเคียงของยาฝังคุมกำเนิด

  • หลังฝังยาคุมกำเนิดอาจพบเลือดออกกะปริบกะปรอยในช่องคลอด หรือมีตกขาวมาก ในบางรายอาจต้องทานยาคุมที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนเพื่อลดอาการเลือดออก
  • ในช่วง 3 เดือนแรก อาจมีอาการปวดท้องน้อย และประจำเดือนขาด
  • ฮอร์โมนอาจส่งผลให้มีอารมณ์แปรปรวน สิวขึ้น คลื่นไส้ เจ็บคัดเต้านมได้
  • ในช่วงแรกมักมีอาการปวดแผลบริเวณที่ฝังยาคุม และผิวหนังส่วนนั้นอาจเกิดแผลเป็นได้
  • การฝัง และถอดยาคุมอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่แผล จนแผลบวมแดง อักเสบ เป็นหนอง ซึ่งพบได้น้อย

ผลข้างเคียงดังกล่าวมักไม่เป็นอันตรายร้ายแรง แต่หากผู้ที่ฝังยาคุมกำเนิดแล้วมีอาการผิดปกติรุนแรง เช่น ปวดศีรษะมาก แน่นหน้าอก หายใจลำบาก แผลอักเสบติดเชื้อ ต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน 

ข้อควรระวังของการใช้ยาฝังคุมกำเนิด

ผู้หญิงที่มีภาวะต่อไปนี้ ไม่ควรรับการฝังยาคุมกำเนิด

  • ผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่ากำลังตั้งครรภ์
  • ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติ หรือมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
  • ผู้มีอาการปวดหัวไมเกรน
  • ผู้มีภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือด
  • ผู้มีประวัติเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดแดง และหลอดเลือดสมอง
  • ผู้ป่วยโรคตับอักเสบ ตับแข็ง หรือมีเนื้องอกในตับ
  • ผู้มีประวัติเป็นโรคมะเร็งเต้านม
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
  • ผู้ที่แพ้ส่วนประกอบในยาคุมกำเนิด

หญิงวัยเจริญพันธุ์สามารถติดต่อขอฝังยาคุมกำเนิดได้ที่โรงพยาบาลทั่วไป โดยผู้หญิงที่เพิ่งคลอดบุตรภายใน 6 สัปดาห์ และวัยรุ่นอายุ 10-20 ปี สามารถเข้ารับการฝังยาคุมกำเนิดได้ฟรี ที่โรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ ตามนโยบาย การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นปี 2559

ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพผู้หญิง ผู้ชายทุกวัย เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


2 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Committee on Adolescent Health Care Long-Acting Reversible Contraception Working Group, The American College of Obstetricians and, Gynecologists (October 2012). "Committee opinion no. 539: adolescents and long-acting reversible contraception: implants and intrauterine devices". Obstetrics and Gynecology. 120 (4): 983–8.
Winner, B; Peipert, JF; Zhao, Q; Buckel, C; Madden, T; Allsworth, JE; Secura, GM. (2012). "Effectiveness of Long-Acting Reversible Contraception". New England Journal of Medicine. 366(21): 1998–2007. doi:10.1056/NEJMoa1110855. PMID 22621627

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)