ยาวาร์ฟาริน (Warfarin)

เผยแพร่ครั้งแรก 29 พ.ค. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 4 นาที
ยาวาร์ฟาริน (Warfarin)

ยาวาร์ฟาริน คือ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulant) ชนิดรับประทานตัวหลักที่ใช้ในประเทศไทย หรือเรียกว่าเป็นยากันเลือดแข็งตัว

การแข็งตัวของเลือด หรือ Clotting เป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัยปัจจัยการแข็งตัวของเลือด (clotting factor) หลายตัว ซึ่งปัจจัยการแข็งตัวของเลือด จะถูกสร้างโดยตับและจะทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมการไหลของเลือด โดยปัจจัยการแข็งตัวของเลือดจะต้องทำงานร่วมกับเซลล์กระตุ้นการแข็งตัวของเลือด (เซลล์เกล็ดเลือด) เพื่อให้ขั้นตอนการแข็งตัวของเลือดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างปัจจัยการแข็งตัวของเลือดตับจะต้องใช้วิตามิน เค ในการสร้าง กลไกการออกฤทธิ์ของยาวาร์ฟารินจึงไปขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ที่จะนำวิตามินเคมาใช้ ซึ่งจะไปรบกระบวนการแข็งตัวของเลือด ทำให้ใช้ระยะเวลาในการทำให้เลือดแข็งตัวนานยิ่งขึ้น 

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

แพทย์ใช้ยาวาร์ฟารินเมื่อใด

กลุ่มยาต้านแข็งตัวของเลือด เช่น ยาวาร์ฟาริน จะถูกสั่งใช้กับผู้ป่วยที่โรคเกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด เช่น

ยาวาร์ฟารินอาจจะใช้ในการป้องกันความเสี่ยงการเกิดลิ่มเลือดอุดตันแก่ผู้ป่วย ดังเช่นในกลุ่มโรค

การใช้ยาวาร์ฟาริน

การใช้ยาวาร์ฟารินในขนาดที่ถูกต้องนั้นมีความสำคัญมาก ผู้ป่วยต้องไม้เพิ่มขนาดยาด้วยตนเอง เปลี่ยนเมื่อแพทย์สั่งเท่านั้น ยาวาร์ฟารินปกติจะรับประทานวันละครั้ง ในตอนเย็น ซึ่งการรับประทานยาให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวันมีความสำคัญมาก เป้าหมายของการใช้ยาวาร์ฟารินคือการลดระยะเวลาในการแข็งตัวของเลือด ไม่ใช่การหยุดการแข็งตัวของเลือดเสียทีเดียว ดังนั้นขนาดของยาวาร์ฟารินจึงต้องมีการตรวจติดตามเฝ้าระวังและปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมอยู่เสมอ

ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจเลือดเป็นประจำ เพื่อตรวจสอบว่าขนาดยาที่ได้นั้นเหมาะสมหรือไม่ โดยจะตรวจหาค่าไอเอ็นอาร์ หรือ The international normalised ratio (INR) ซึ่งเป้นค่าที่แสดงระยะเวลาในการแข็งตัวของเลือด ยิ่งได้ค่าสูงก็หมายถึงระยะเวลาในการแข็งตัวของเลือดนาน ซึ่งแพทยจะใช้ค่าไอเอ็นอาร์ในการปรับเปลี่ยนขนาดยาให้เหมาะสมแก่ผู้ป่วยแต่ละราย ถึงแม้ในปัจจุบันจะมียาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดใหม่ที่ไม่ต้องตรวจติดตามมากเท่าวาร์ฟาริน เช่น ไรวารอกซาแบน (rivaroxaban)อะพิซาแบน (apixaban) ดาบิกาแทรน (dabigatran) แต่แพทย์ยังนิยมให้ยาวาร์ฟารินแก่ผู้ป่วย

ผู้ที่เริ่มใช้ยาวาร์ฟารินนั้นจะได้สมุดประจำตัว ซึ่งจะบอกถึงการใช้ยา และโรคที่ผู้ป่วยเป็น ควรพกติดตัวไว้เสมอ 

การลืมรับประทานยาวาร์ฟาริน

 หากผู้ป่วยลืมรับประทานยาวาร์ฟารินในเวลาใกล้เคียงกับเวลาที่รับประทานปกติ ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ และรับประทานมื้อต่อไปตามปกติ ห้ามเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่าในมื้อถัดไป แต่ถ้าหากลืมแล้วนึกขึ้นได้ในเวลาที่ใกล้กับมื้อถัดไปแล้ว ไม่ต้องรับประทานเม็ดที่ลืม ให้เริ่มมื้อใหม่ตามปกติ หากลืมเกินกว่านี้ควรไปพบแพทย์

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

ผู้ที่ไม่ควรได้รับยาวาร์ฟาริน

ผู้ที่ไม่ควรใช้ยาวาร์ฟาริน มีดังนี้

  • ผู้ป่วยตั้งครรภ์ เนื่องจากยาจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กได้
  • ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้
  • ผู้ที่มีความเสี่ยงเลือดออกในช่องท้อง เช่น ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารอักเสบ
  • ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติ เช่น โรคฮีโมฟีเลีย หรือ โรคที่เลือดไหลไม่หยุด 

ผลข้างเคียงของการใช้ยาวาร์ฟาริน

เลือดออกง่ายคือผลข้างเคียงหลักของยาวาร์ฟาริน เนื่องจากยามีผลให้เลือดแข็งตัวช้าลง ผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงของการเกิดเลือดไหลไม่หยุดในช่วงระยะสัปดาห์ต้นๆ ของการเริ่มใช้ยา ผู้ป่วยควรพบแพทย์หากมีอาการดังนี้

  • เลือดออกปนกับปัสสาวะหรืออุจจาระ หรือถ่ายดำ
  • มีจ้ำ หรือ รอยช้ำรุนแรง
  • เลือดออกตามไรฟัน
  • อาเจียนหรือไอเป็นเลือด
  • เลือดกำเดาไหลไม่หยุด
  • ปวดศรีษะอย่างรุนแรง
  • ประจำมามากผิดปกติ หรือมีเลือดออกทางอวัยวะเพศ

นอกจากนั้นผู้ป่วยควรระมัดระวังเป็นพิเศษหากต้องโกนหนวด หรือโกนขน การแปรงฟันควรทำอย่างเบามือ สวนเครื่องมือป้องกันหากต้องใช้งานของมีคม หรือเล่นกีฬาที่มีการกระแทก ระวังอุบัติเหตุหรือการลื่นล้มต่างๆ

การมีผื่นคัน หรือผมร่วงเป็นอาการข้างเคียงปกติของยาวาร์ฟาริน หากมีอาการนอกเหนือจากนี้ควรพบแพทย์

ข้อควรระวังในการใช้ยาวาร์ฟารินร่วมกับยาชนิดอื่นและอาหาร

ระหว่างยาวาร์ฟารินกับยาชนิดอื่น

วาร์ฟารินสามารถเกิดอันตรกิริยาได้กับยาหลายชนิด ซึ่งจะบอกไว้ในสมุดประจำตัวของผู้ป่วยแล้ว ซึ่งผู้ป่วยควรสอบถามเภสัชกร หรือแพทย์ก่อนที่จะซื้อยาใช้เองทุกครั้ง

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

ผู้ป่วยที่ใช้ยาวาร์ฟาริน ห้ามใช้ยาแอสไพริน (aspirin) หรือยาที่มีส่วนผสมของแอสไพริน และรวมถึงยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen) เนื่องจากจะทำให้เลือดไหลไม่หยุดได้ แต่ผู้ป่วยสามารถใช้ยาพาราเซตามอล (paracetamol) ในขนาดที่เหมาะสมได้ ยาสมุนไพรหรืออาหารเสริมต่างๆ ก็สามารถเกิดอันตรกิริยากับยาวาร์ฟารินได้ ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการใช้ หรือปรึกษาเภสัชกรก่อนใช้

ระหว่างยาวาร์ฟารินกับอาหารและเครื่องดื่ม

อาหารบางชนิดอาจเกิดปฏิกิริยากับยาวาร์ฟารินได้หากรับประทานในปริมาณมาก เช่น อาหารที่มีวิตามินเคสูง ดังเช่น ผักใบเขียวจำพวก บลอคโครี่ ผักโขม เป็นต้น น้ำมันที่สะกัดจากผัก ธัญพืช ในเนื้อสัตว์อาจมีวิตามินเคอยู่เล็กน้อย หรือผลิตภัณฑ์จากนม ผู้ป่วยควรจะรับประทานอาหารหรือผักใบเขียวตามปกติ ไม่ควรเพิ่มหรือลดขนาดลง เนื่องจากจะรบกวนการดูดซึมยาได้

เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ การรับประทานในปริมาณมากจะเพิ่มการทำงานของวาร์ฟาริน ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดเลือดไหลไม่หยุดได้ โดยควรรับประทานเบียร์ไม่เกิน 6 กระป๋องต่อสัปดาห์ 

ข้อมูลที่น่าสนใจอื่นๆ

การผ่าตัดและทันตกรรมในผู้ที่ใช้ยาวาร์ฟาริน

เนื่องจากผู้ที่ใช้ยาวาร์ฟารินจะมีความเสี่ยงเลือดไหลไม่หยุด ดังนั้นอาจต้องลดขนาดยาลง หรือ หยุดใช้ยาก่อนการผ่าตัดประมาณ 2-3 วัน และผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์ให้ทราบว่ากำลังใช้ยาวาร์ฟารินอยู่เสมอ

การฉีดวัคซีนในผู้ที่ใช้ยาวาร์ฟาริน

ผู้สามารถรับการฉัดวัคซีนได้ และการฉีดจะต้องเป็นการฉีดระดับผิวหนัง ไม่ใช่ระดับกล้ามเนื้อ เนื่องจากกะทำให้เกิดรอยช้ำหรือจ้ำเขียวได้

การเล่นกีฬาในผู้ที่ใช้ยาวาร์ฟาริน

ผู้ใช้ยาวาร์ฟารินสามารถเล่นกีฬาได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงกีฬาที่ต้องมีการกระแทก เช่น ฟุตบอล รักบี้ คริกเก็ต และ ฮอคกี้ เลี่ยงศิลปะการป้องกันตัว ชกมวย เป็นต้น ผู้ใช้ยาสามารถเล่นกีฬา เช่น วิ่ง ปั่นจรกรยาน เรคเก็ต เป็นต้น แต่ควรสวมอุปกรณืป้องกันให้ครบถ้วน

การเจาะตามร่างกายในผู้ที่ใช้ยาวาร์ฟาริน

ไม่แนะนำให้เจาะส่วนต่างๆ ของร่างกายเนื่องจากจะเลือดออกไม่หยุด และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ


9 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Warfarin Drug Information. MedlinePlus. (https://medlineplus.gov/druginfo/meds/a682277.html)
Warfarin Uses, Dosage, Side Effects. Drugs.com. (https://www.drugs.com/warfarin.html)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)