โรคเส้นเลือดในสมองแตก เป็นโรคอันตรายที่ทำให้ต้องหามส่งโรงพยาบาลได้แบบกะทันหัน และอาจเสียชีวิตอย่างเฉียบพลัน ทั้งยังเป็นโรคที่คนไทยมักจะเป็นกันเยอะ จนเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในอันดับต้น ๆ ของประเทศเลยทีเดียว โรคเส้นเลือดในสมองแตกจากภาวะความดันโลหิตสูง เป็นภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยงเนื่องจากหลอดเลือดตีบตัน, อุดตัน จนหลอดเลือดแตก ส่งผลให้เนื้อเยื่อในสมองถูกทำลายจนทำให้การทำงานของสมองหยุดชะงักไป
อาการของโรค
ผู้ที่เป็นโรคมักจะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน จนอาจจะหมดสติได้ หรือในบางรายก็อาจจะไม่มีอาการปวดใด ๆ แต่ระดับความรู้สึกตัวมีต่ำ แขนและขาอ่อนแรง พูดไม่ชัดหรืออาจจะถึงขั้นพูดไม่ได้ไปเลย ซึ่งอาการนั้นจะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและรวดเร็ว ในบางรายก็อาจจะมีอาการของเส้นเลือดแตกจนไหลออกมาก่อน จนอาจจะทำให้เข้าใจผิดไปว่าศีรษะกระแทกกับสิ่งของจนเลือดออกได้ ส่วนในรายที่มีสภาวะสมองขาดเลือดแบบชั่วคราว (transient ischemic attack: TIA) ก็อาจจะมีอาการเตือนเหล่านี้แค่ชั่วคราว แล้วก็สามารถที่จะหายไปเอง หรือในหนึ่งวันก็อาจจะเกิดขึ้นได้หลายครั้ง ก่อนที่จะมีการแสดงอาการสมองขาดเลือดไปแบบถาวร
ดีลสุขภาพและความงาม ลดสงสุด 50% ถึง 28 กุมภานี้
ไม่ว่าโสดหรือมีคู่ เราก็จับคู่ดีลดีๆมาให้คุณ อยากสุขภาพดี+ดูดีรึยัง? คลิก

ดังนั้นเมื่อมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นก็ควรทีจะรีบพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาการของโรคเส้นเลือดในสมองถือว่ามีความรุนแรงมาก และต้องได้รับการรักษาที่ทันท่วงทีไม่เช่นนั้นอาจจะมีอันตรายถึงชีวิตได้ ซึ่งเส้นเลือดในสมองแตกนั้นเป็นสาเหตุของอาการอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ ผู้ป่วยจึงต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด
อาการของโรคสามารถแบ่งได้เป็น 2 ระยะ
- ระยะของเส้นเลือดเริ่มตีบตัน ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวกและเกิดการติดขัด สมองจึงได้รับออกซิเจนในปริมาณที่ไม่เพียงพอ อาการเบื้องต้นคือ ตาพร่ามัว ชาตามร่างกาย และอยู่ดี ๆ ก็อาจจะหมดสติได้ เมื่อพบอาการเหล่านี้ให้พาไปพบแพทย์โดยทันที หรือภายใน 2-3 ชั่วโมงที่พบอาการ
- ระยะเส้นเลือดในสมองแตกไปแล้ว ระยะนี้อันตรายมาก ๆ เนื่องจากเป็นภาวะที่มีเลือดออกในสมอง ซึ่งจะต้องรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะต้องได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน ไม่เช่นนั้นอาจเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาตได้
ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดในสมองแตก
สาเหตุสำคัญหลัก ๆ มักจะเกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของเรา
- การทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำจนไม่ได้ออกกำลังกาย
- รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
- โรคอ้วน
- มีสภาวะความเครียดสูง
- ดื่มเหล้าและสูบบุหรี่จัดเป็นประจำ
นอกจากนี้ยังสามารถเป็นได้จากโรคประจำตัว
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคเบาหวาน หรือโรคหัวใจ
โรคเหล่านี้ส่งผลให้เกิดภาวะความดันเลือดจนเส้นเลือดในสมองแตก แต่สิ่งเหล่านี้ยังถือว่าเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ ถ้าได้รับการใส่ใจดูแล แต่ถ้าปล่อยให้สะสมไปนาน ๆ โรคก็อาจจะก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรง ส่วนอีกสาเหตุของปัจจัยเสี่ยงที่มักจะเลี่ยงไม่ได้คือ อายุที่สูงวัยขึ้น, พันธุกรรม และเชื้อชาติ
โรคเส้นเลือดในสมองแตก พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง และพบในผู้ที่มีภาวะการณ์แข็งตัวของเลือดเร็วผิดปกติ เป็นต้น
ดีลสุขภาพและความงาม ลดสงสุด 50% ถึง 28 กุมภานี้
ไม่ว่าโสดหรือมีคู่ เราก็จับคู่ดีลดีๆมาให้คุณ อยากสุขภาพดี+ดูดีรึยัง? คลิก

นอกจากนี้หากพบว่าคนใกล้ชิด มีอาการปวดหัวในตอนเช้า, มีความรู้สึกชาที่แขนและขามาก่อน, ตาพร่ามัวเป็นบางครั้งและถี่ขึ้น ก็ควรที่จะรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจทันที เพราะผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้มักจะไม่ค่อยรู้ตัว และจะรู้อีกทีก็คือเป็นในระยะที่อันตรายต่อชีวิตไปแล้ว ผู้ที่มีอาการข้างต้นจึงควรที่จะต้องเช็คสุขภาพทุกปี ซึ่งหากพบว่าตัวเองมีอาการที่น่าสงสัยของโรคเส้นเลือดในสมองแตกก็ให้ลองปฏิบัติตาม 3 ข้อนี้ คือ
- ให้ผู้ที่เป็นทดลองยิ้ม (S) ถ้าไม่มีอาการยิ้มแล้วปากเบี้ยวไปด้านใดด้านหนึ่ง หรือยิ้มได้ยาก ผิดปกติไปจากเดิม แสดงว่าปกติดี
- ให้พูดประโยคที่มีประโยคที่สมบูรณ์ (T) เช่น วันนี้ทานข้าวหรือยัง แล้วไม่มีผิดเพี้ยน ลิ้นไม่พันกัน แสดงว่าปกติ
- ให้ยกแขนทั้ง 2 ข้างขึ้น (R) ถ้ายกได้ไม่รู้สึกว่ายากหรือยกไม่ขึ้นก็แสดงว่าปกติดี
ซึ่งทั้ง 3 วิธีในการทดสอบนี้มักจะเรียกกันย่อ ๆ ว่า STR หรือ Smile, Talk, Raise ส่วนอาการอีกหนึ่งอย่างที่ไม่ควรมองข้ามคือลองให้ผู้ที่ป่วยแลบลิ้นออกมา ถ้าลิ้นม้วนหรือเบี้ยวไปข้างใดข้างหนึ่งก็แสดงว่าส่อถึงอาการอันตรายของโรคแล้ว
การรักษาทางการแพทย์ แบ่งออกเป็น 2 วิธี
- รักษาในระยะที่หลอดเลือดตีบตัน โดยการทำให้เลือดไหลเวียนได้อย่างปกติด้วยการทานยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งพบว่ามีผลดีต่อผู้ป่วยที่มีอาการ หรือแสดงอาการของโรคหลอดเลือดในสมอง
- รักษาในระยะหลอดเลือดสมองแตกไปแล้ว โดยการควบคุมเลือดที่ออกด้วยการรักษาระดับความดันเลือด แต่ถ้าเลือดออกมากจนเกินไปก็อาจจะต้องทำการผ่าตัดเพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายของเนื้อสมอง
การดูแลตัวเองเมื่อเป็นโรคเส้นเลือดในสมอง
- พยายามไปตรวจเช็คสุขภาพประจำปี และถ้าพบว่าเป็นแล้วก็ให้รับคำแนะนำและการรักษาจากแพทย์โดยทันที
- เมื่อเป็นแล้วก็ให้ทายาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ ห้ามหยุดยาเองโดยเด็ดขาด
- ดูแลสุขภาพของตนเองโดยควบคุมไขมัน และน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็ม หวานและมัน
- ออกกกำลังกายทุกวัน วันละประมาณ 30 นาที พร้อมทั้งควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม
- เลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกฮอลล์
- ถ้ามีอาการเตือนของโรค แต่เกิดหายไปได้เองก็อย่านิ่งนอนใจให้รีบไปพบแพทย์โดยทันที
- สำหรับผู้ที่อยู่ในการดูแลของแพทย์ด้วยโรคนี้ ก็ควรที่จะใช้ยาพร้อมทั้งทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะถ้าใช้ยาผิด หรือไม่มีการติดตามดูแลที่ใกล้ชิดก็อาจจะเกิดสภาวะแทรกซ้อนจนอาจทำให้ถึงชีวิตได้
นอกจากนี้ผู้ป่วยเองก็ต้องดูแลสุขภาพร่างกายให้ครบถ้วน และดูแลสุขภาพจิตใจให้สดใสอยู่ตลอดเวลา เพื่อหลีกเลี่ยงความเครียด ความกดดันควบคู่ไปด้วย พร้อมทั้งใช้ชีวิตที่ไม่ประมาท และไม่เสี่ยงต่อการเสียชีวิตแบบกะทันหัน จึงควรที่จะหมั่นดูแลตัวเอง และลดพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความเสี่ยงทั้งหลาย ทั้งนี้ก็เพื่อที่ร่างกายจะได้เป็นไปอย่างสมดุล และเป็นการรักษาโรคอย่างตรงจุดโดยแท้จริง