“ใจสั่น” อาการใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม

เผยแพร่ครั้งแรก 5 มิ.ย. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 2 นาที
“ใจสั่น” อาการใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม

เคยไหมกับการมีอาการใจสั่น? มีคนจำนวนไม่น้อยที่มองข้ามอาการดังกล่าว ซึ่งในบางกรณี อาการใจสั่นสามารถเป็นสัญญาณของโรคที่เกี่ยวกับหัวใจที่มีความร้ายแรง ดังนั้นหากคุณมีอาการใจสั่นพร้อมกับมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น หายใจติดขัด เวียนศีรษะ เจ็บหน้าอก หรือเป็นลม คุณก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ สำหรับบทความในวันนี้ เราจะพาคุณไปดูสาเหตุของอาการใจสั่นและวิธีรักษา แต่จะมีอะไรบ้างนั้น เราลองมาดูพร้อมกันเลยค่ะ

สาเหตุ

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

มีหลายสาเหตุที่ทำให้เรามีอาการใจสั่น แต่โดยทั่วไปแล้วอาการดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับหัวใจ หรือเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ สำหรับสาเหตุของอาการใจสั่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับหัวใจมีดังนี้

  • การมีอารมณ์ที่รุนแรงอย่างความวิตกกังวลหรือความเครียด ซึ่งมักเกิดขึ้นในระหว่างที่โรคแพนิคกำเริบ
  • การออกกำลังกายอย่างหนัก
  • คาเฟอีน นิโคติน แอลกอฮอล์ หรือยาเสพติด เช่น โคเคน แอมเฟตามีน ฯลฯ
  • การเจ็บป่วย เช่น โรคไทรอยด์ การมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ โรคโลหิตจาง ความดันโลหิตต่ำ เป็นไข้ ภาวะขาดน้ำ ฯลฯ
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระหว่างที่มีประจำเดือน ตั้งครรภ์ หรือก่อนวัยทอง ในบางครั้งการมีอาการใจสั่นในระหว่างที่ตั้งครรภ์สามารถเป็นสัญญาณของโรคโลหิตจาง
  • ยาบางชนิด เช่น ยาลดความอ้วน ยาหดหลอดเลือด ยารักษาโรคหอบหืด ยารักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ยาที่ใช้รักษาภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ
  • สมุนไพรและอาหารเสริมบางชนิด
  • การมีระดับของอิเล็กโทรไลต์ผิดปกติ

อย่างไรก็ตาม บางคนมีอาการใจสั่นหลังจากทานอาหารมื้อใหญ่ที่อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล และไขมัน นอกจากนี้การทานอาหารที่มีผงชูรส ไนเตรต หรือโซเดียมสูงก็สามารถทำให้คุณมีอาการใจสั่นเช่นกัน ในกรณีที่อาการใจสั่นมีความเชื่อมโยงกับโรคหัวใจ มันก็มีแนวโน้มทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งโรคหัวใจที่เกี่ยวข้องกับอาการใจสั่น เช่น อาการก่อนโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน โรคหลอดเลือดหัวใจ ภาวะหัวใจล้มเหลว ลิ้นหัวใจมีปัญหา กล้ามเนื้อหัวใจมีปัญหา

สิ่งที่แพทย์ทำ

สิ่งที่แพทย์จะทำกับคุณคือ ตรวจร่างกาย สอบถามประวัติการเจ็บป่วย ยาที่ทานในปัจจุบัน อาหาร และไลฟ์สไตล์ สอบถามเกี่ยวกับเวลา หรือความถี่ที่อาการใจสั่นเกิดขึ้น ในบางครั้งการตรวจเลือดสามารถช่วยให้แพทย์เจอสาเหตุของอาการใจสั่น สำหรับการทดสอบอื่นๆ ที่มีประโยชน์ เช่น

  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram - EKG): สามารถทำในขณะที่ร่างกายอยู่ในช่วงพักหรือช่วงออกกำลังกาย การทดสอบชนิดนี้ทำให้เราพบความผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจ
  • เครื่องบันทึกการเต้นของหัวใจ (Holter monitoring): คุณจะต้องติดเครื่องติดตามที่หน้าอก ซึ่งมันจะบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจนาน 24-48 ชั่วโมง
  • เครื่องบันทึกการเต้นของหัวใจชนิดพกพา (Event recording): คุณจะต้องติดตั้งเครื่องนี้ที่หน้าอก เพื่อบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจเมื่อมีอาการเกิดขึ้น
  • การตรวจเอกซเรย์ปอด (Chest X-ray): แพทย์จะตรวจการเปลี่ยนแปลงภายในปอด ซึ่งสามารถเกิดจากการที่หัวใจมีปัญหา ตัวอย่างเช่น หากพบของเหลวภายในปอด มันก็อาจเกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลว
  • การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (Echocardiogram): การตรวจวิธีนี้คือการตรวจอัลตราซาวด์หัวใจ ทำให้พบข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างและการทำงานของหัวใจ

การรักษา

การรักษาอาการใจสั่นนั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุ แต่โดยทั่วไปแล้ว อาการใจสั่นไม่ทำให้เกิดอันตราย และจะหายไปเอง หากแพทย์ไม่พบสาเหตุ เขาก็อาจแนะนำให้คุณหลีกเลี่ยงตัวการที่กระตุ้นให้มีอาการใจสั่น สำหรับวิธีรักษา เช่น

  • ลดความวิตกกังวลและความเครียด: ออกกำลังกาย ฝึกโยคะ ฝึกไทเก๊ก ฝึกไบโอฟีดแบ็ค ฝึก Guided imagery กลิ่นบำบัด
  • หลีกเลี่ยงการทานอาหาร เครื่องดื่ม หรือสารบางชนิด: แอลกอฮอล์ นิโคติน คาเฟอีน ยาเสพติด
  • หลีกเลี่ยงยาที่ทำให้เกิดการกระตุ้น: ยาแก้ไอและยารักษาโรคหวัด อาหารเสริมบางชนิด

อย่างไรก็ตาม หากการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้น คุณอาจต้องทานยาตามที่แพทย์สั่ง ในบางครั้งแพทย์อาจจ่ายยา Beta-Blockers หรือ Calcium-Channel Blockers หากแพทย์พบสาเหตุของอาการใจสั่น เขาก็จะรักษาโดยยึดตามสาเหตุ แต่หากมันเกิดจากยา เขาก็จะใช้วิธีอื่นรักษา

ที่มา: https://www.webmd.com/heart-di...


1 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Effect of whole body vibration on cervical (neck) proprioception in young, healthy individuals serving as their own control: a pilot study. National Center for Biotechnology Information. (https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6160897/)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)