กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD

งูสวัดในคนท้อง

งูสวัดในคนท้อง: สาเหตุ ความเสี่ยง อาการป่วย รวมทั้งวิธีดูแลในเบื้องต้น
เผยแพร่ครั้งแรก 7 เม.ย. 2019 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 4 นาที
งูสวัดในคนท้อง

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • หญิงตั้งครรภ์ที่เสี่ยงเป็นโรคงูสวัด คือ หญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส หรือไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสมาก่อน
  • ถึงแม้จะเป็นโรคงูสวัด แต่อาการที่เกิดในหญิงตั้งครรภ์มักไม่รุนแรง และมีระยะของโรคอยู่แค่ 2-4 สัปดาห์ก็จะค่อยๆ หายดี
  • ในทางตรงกันข้าม หญิงตั้งครรภ์ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง หากได้รับเชื้อไวรัส VZV มักเสี่ยงที่จะเป็นโรคอีสุกอีใสขณะตั้งครรภ์มากกว่า และอาการยังรุนแรงมาก รวมถึงส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ด้วย
  • หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคอีสุกอีใสก่อน หรือหลังคลอดประมาณ 7 วัน มีความเสี่ยงที่ทารกจะเกิดโรคอีสุกอีใสชนิดรุนแรง และเสียชีวิต ทางที่ดี ก่อนวางแผนมีบุตร คุณควรไปรับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสซะก่อน หากไม่เคยเป็นโรคนี้
  • ระยะเวลาที่ควรรับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสก่อนวางแผนมีบุตร คือ ประมาณ 3 เดือนก่อนเวลาที่คาดว่าจะตั้งครรภ์
  • เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด

การตั้งครรภ์ ถือเป็นช่วงเวลาที่คุณแม่จะต้องดูแลตนเองให้ร่างกายแข็งแรง เนื่องจากเป็นช่วงที่ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอกว่าปกติ รวมถึงต้องบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อให้ลูกน้อยคลอดออกมาอย่างปลอดภัย ไม่มีโรคภัย หรืออาการแทรกซ้อนด้วย

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่หญิงตั้งครรภ์จะเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายต่างๆ ก็ยังมีอยู่ รวมไปถึงโรคงูสวัดด้วย

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

โรคงูสวัดกับหญิงตั้งครรภ์

โรคงูสวัด เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส “วาริเซลลา ซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus: VZV) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส

โดยปกติโรคงูสวัดจะเกิดขึ้นกับผู้ที่เคยป่วยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน หรือเคยรับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสมาแล้ว แต่เชื้อไวรัสไม่ได้หายไปหลังจากร่างกายรักษาโรคอีสุกอีใส แต่กลับยังซ่อนตัวอยู่ในปมประสาทของร่างกาย

และเมื่อไรก็ตามที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อายุมากขึ้น อยู่ในช่วงอ่อนเพลีย เครียด มีโรคประจำตัว เชื้อไวรัสชนิดนี้ก็สามารถออกมาก่อโรคร้ายในรูปของโรคสวัดได้

ดังนั้นหญิงตั้งครรภ์ที่เคยป่วยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อนจึงไม่เสี่ยงเป็นโรคงูสวัดมาก เมื่อเทียบกับหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน และไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสเลย

อาการของโรคงูสวัดในหญิงตั้งครรภ์

อาการโรคงูสวัดในหญิงตั้งครรภ์ส่วนมากจะไม่รุนแรง ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน และไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อสุขภาพทารกในครรภ์ อีกทั้งโดยปกติจะมีระยะของโรคประมาณ 2-4 สัปดาห์ก็หาย โดยอาการจะมีลำดับดังต่อไปนี้

  • มีตุ่มผื่นขึ้นตามแนวยาวข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย มักเริ่มจากใบหน้า ลำตัว แล้วลามไปแขนขา
  • ตุ่มผื่นเปลี่ยนเป็นตุ่มน้ำพุพอง มีหนองอยู่ข้างใน
  • ตุ่มผื่นเริ่มแตก และตกสะเก็ดหายไป

อาจมีหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคงูสวัดบางรายมีอาการคัน และเจ็บปวดบริเวณที่ผื่นขึ้น บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ มีไข้ และอ่อนเพลียร่วมด้วย

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

โรคอีสุกอีใสในหญิงตั้งครรภ์

หญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส และไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน หากติดเชื้อไวรัส VZV จากผู้อื่นขึ้นมา ก็เสี่ยงที่จะเป็นโรคอีสุกอีใสระหว่างตั้งครรภ์ได้ ซึ่งโรคนี้จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อทั้งแม่ และเด็กอย่างรุนแรง

อาการแทรกซ้อนรุนแรงที่มักเกิดขึ้นในหญิงตั้งครรภ์ซึ่งเป็นโรคอีสุกอีใส ได้แก่ ปอดอักเสบ ภาวะขาดน้ำ ติดเชื้อที่ผิวหนัง สมองอักเสบ มีอาการท็อกซิกซินโดรม (Toxic Shock Syndrome: TSS)

โดยทารกในครรภ์มารดาที่เป็นโรคอีสุกอีใส จะเสี่ยงได้รับผลกระทบดังนี้

  • หากอายุครรภ์อยู่ที่ประมาณ 12-20 สัปดาห์ ทารกในครรภ์จะเสี่ยงเป็นโรคสุกใสแต่กำเนิด (Congenital varicella syndrome) ซึ่งจะส่งผลให้ดวงตาเด็กเป็นต้อกระจก มีรอยแผลเป็นที่กระจกตา ศีรษะเล็ก แขนขาลีบ ขนาดนิ้วมือนิ้วเท้าพัฒนาไม่เต็มที่ สมองได้รับความเสียหาย
  • หากอายุครรภ์อยู่ที่ประมาณสัปดาห์ที่ 20 ทารกอาจคลอดก่อนกำหนด
  • หากมารดาติดเชื้ออีสุกอีใสช่วง 1 สัปดาห์ก่อน หรือหลังคลอด ทารกอาจติดเชื้อ และเกิดโรคอีสุกอีใสชนิดรุนแรง ซึ่งทำให้เสียชีวิตได้

อาการของเด็กทารกที่ติดเชื้ออีสุกอีใสจากมารดา

โดยปกติหากหญิงตั้งครรภ์เป็นโรคอีสุกอีใสมากกว่า 1 สัปดาห์ก่อนคลอดบุตร ทารกจะได้รับภูมิคุ้มกันจากมารดา และสามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ 

แต่หากมารดาเกิดเป็นโรคอีสุกอีใสก่อนคลอด หรือหลังคลอดประมาณ 1 สัปดาห์ ทารกจะเสี่ยงเป็นโรคอีสุกอีใสชนิดรุนแรง ซึ่งมีอาการต่อไปนี้

  • มีไข้ต่ำ
  • ร้องไห้กวน
  • ไม่อยากอาหาร
  • มีตุ่มคันขึ้นทั่วร่างกาย เมื่อตกสะเก็ดแล้วมักจะทิ้งเป็นรอยแผลเป็นหลุมเล็กๆ ไว้ทั่วผิวหนัง
  • อาจมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ตับอักเสบ ปอดบวม ไข้สมองอักเสบ

วิธีวินิจฉัยโรคอีสุกอีใสในเด็กทารก

การวินินิจฉัยจะเริ่มจากการสอบถามประวัติการติดเชื้อไวรัสของมารดาร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ เช่น

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ฉีดวัคซีนงูสวัดวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 4292 บาท ลดสูงสุดถึง 655 บาท

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

  • การตรวจอัลตราซาวด์เพื่อติดตามดูลักษณะ หาความผิดปกติของใบหน้า แขนขา ลักษณะศีรษะของเด็ก
  • การเจาะตรวจน้ำคร่ำ
  • การติดเชื้อเนื้อรกไปตรวจหาเชื้อไวรัส VZV
  • การเจาะเลือดเด็กเพื่อหาภูมิคุ้มกัน (ตรวจหลังจากเด็กคลอดแล้ว)

วิธีดูแลตนเองหากเป็นโรคงูสวัดขณะตั้งครรภ์

หากสงสัยว่า ตนเองเป็นโรคงูสวัด และกำลังตั้งครรภ์ คุณควรรีบไปพบแพทย์ทันที โดยหญิงตั้งครรภ์อาจได้รับยาต้านไวรัส เช่น อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) แฟมไซโคลเวียร์ (Famciclovir) และวาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) ซึ่งเป็นยาที่ปลอดภัยสำหรับการใช้ในขณะตั้งครรภ์

ตัวยาเหล่านี้จะช่วยบรรเทาความรุนแรงของโรค และลดความเสี่ยงของอาการปวดปลายประสาทที่จะเกิดขึ้นหลังจากผื่นพุพองหายไปแล้ว 

การรับประทานยาให้ได้ผลดีที่สุด คือ รับประทานตั้งแต่ในช่วงที่ยังไม่เกิดการแพร่เชื้อ หรือผื่นยังไม่แตกออกนั่นเอง และควรรับประทานอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์

นอกจากการรับประทานยาต้านไวรัส คุณสามารถบรรเทาอาการด้วยตนเองตามคำแนะนำต่อไปนี้

  • หากรู้สึกปวดมาก สามารถรับประทานยาแก้ปวดอย่างพาราเซตามอล แต่เพื่อความปลอดภัยควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาใดๆ ด้วยตัวเอง
  • ประคบเย็นบริเวณตุ่มผื่นบ่อยๆ ครั้งละประมาณ 20 นาที หรือแช่ในอ่างน้ำเย็น เพื่อทุเลาความเจ็บปวด
  • ควรสวมใส่เสื้อผ้าหลวมๆ จะช่วยลดการระคายเคือง และทำให้แผลหายเร็วขึ้น
  • หมั่นเช็ดแผลให้แห้ง และใช้ผ้าก๊อซปิดแผลไว้ให้ทั่ว รวมถึงไม่ใช้ผ้าเช็ดตัวหรือเสื้อผ้าร่วมกับผู้อื่น เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
  • บรรเทาอาการคันด้วยการรับประทานยาแก้แพ้ หรือทาคาลามายน์
  • รักษาความสะอาดของแผล เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำ

วิธีป้องกันตัวเองและลูกในครรภ์ให้ห่างไกลจากงูสวัด

ทุกคนที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อนย่อมมีความเสี่ยงเกิดโรคงูสวัดได้ แต่ข้อดีก็คือ จะไม่ติดเชื้อจากคนอื่นที่เป็นโรคอีสุกอีใส หรือโรคงูสวัดอีก เพราะมีภูมิคุ้มกันอยู่แล้ว ที่สำคัญ โรคงูสวัดนั้นก็ไม่ได้รุนแรง หรือทำให้เกิดอันตรายในหญิงตั้งครรภ์ 

อย่างไรก็ตาม หากเป็นกังวล คุณสามารถปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนป้องกันงูสวัด แต่โดยปกติแล้ว วัคซีนนี้มักแนะนำให้ฉีดในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป

ในขณะที่หญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส หรือไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคนี้มาก่อน จะมีความเสี่ยงติดเชื้อจากผู้ป่วยงูสวัดหรืออีสุกอีใสได้ 

ดังนั้นหากกำลังวางแผนมีบุตร คุณจึงควรเข้ารับการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส โดยแนะนำให้เว้นระยะหลังฉีดวัคซีนประมาณ 3 เดือน ก่อนจะตั้งครรภ์ 

ส่วนผู้ที่ตั้งครรภ์อยู่แล้ว แต่ไม่เคยมีภูมิคุ้มกันต่อโรคอีสุกอีใส ก็ควรป้องกันโดยอยู่ให้ห่างจากผู้ที่เป็นอีสุกอีใสและงูสวัดเข้าไว้ เพราะวัคซีนอีสุกอีใสนั้นไม่แนะนำให้ฉีดในผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์

เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


5 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
nia.nih.gov, Shingles (https://www.nia.nih.gov/health/shingles)
Hannah Nichols, Shingles (https://www.medicalnewstoday.com/articles/154912.php), November 5, 2019

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)