ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้เมื่อคุณเริ่มให้ทารกกินอาหารเร็วเกินไป

ความแตกต่างของความเสี่ยงต่อโรคอ้วนระหว่างการให้นมแม่และการป้อนอาหารสูตรสำหรับทารก
เผยแพร่ครั้งแรก 4 ก.ย. 2017 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 2 นาที
ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้เมื่อคุณเริ่มให้ทารกกินอาหารเร็วเกินไป

หนึ่งในคำถามที่หนักที่สุดที่พ่อแม่ของลูกเล็กมีคือเมื่อไรจะเริ่มป้อนอาหารแก่ทารกได้ พ่อแม่บางคนอาจโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อนว่าเมื่อไรจึงเป็นเวลาที่ “ดีที่สุด” ที่จะเริ่มป้อนอาหารแข็ง บางทีคุณอาจต้องรับฟังความเห็นที่แข็งกร้าวในเรื่องดังกล่าว (เริ่มเมื่อไรก็ได้ตามที่คุณต้องการ, รอจนกว่าจะ 4 เดือน, รอจนกว่าจะ 6 เดือน และอื่น ๆ ) และการโต้เถียงดังกล่าวอาจทำให้คุณสับสน วุ่นวายใจ หรือหงุดหงิด 

งานวิจัยที่พูดเกี่ยวกับการเริ่มป้อนอาหารทารก มีอะไรบ้าง? 

สถานะของสถาบันกุมารเวชอเมริกันในเรื่องของเวลาในการเริ่มป้อนอาหารแข็ง

ความจริงคือสถาบันกุมารเวชอเมริกัน(AAP) แนะนำให้รอจนกว่าอย่างน้อย 4-6 เดือนจึงจะเริ่มป้อนอาหารแข็ง และมีเหตุผลที่ดีในเรื่องนี้ด้วย การศึกษาทางการแพทย์หลายชิ้นยืนยันช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Pediatrics ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2011 ที่ได้ศึกษาอย่างจำเพาะเรื่องเวลาในการป้อนอาหารแข็งและความเสี่ยงของภาวะโรคอ้วนในเด็ก 

การเริ่มอาหารแข็งเร็วกว่าอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วนในเด็กที่ได้รับอาหารผสมสูตรทารก

การศึกษาล่าสุดมุ่งไปยังรายละเอียดของเรื่องที่ว่าเวลาการป้อนอาหารเหลวอาจส่งผลกระทบต่ออัตราการเป็นโรคอ้วนในเด็กวัยก่อนเข้าโรงเรียนได้อย่างไร สิ่งที่การศึกษานี้ค้นพบคือ “ในทารกที่ไม่เคยได้รับนมแม่เลย หรือทารกที่หยุดได้รับนมแม่ก่อนอายุ 4 เดือน การได้อาหารแข็งก่อนอายุ 4 เดือนมีความสัมพันธ์กับโอกาสการเป็นโรคอ้วนที่อายุ 3 ปีมากกว่าถึง 6 เท่า” (Pediatrics 2011)

ในอดีต มีผู้แย้งว่าทารกที่ได้รับอาหารสูตรทารกนั้นมี “การเจริญเติบโตช่วงแรกอย่างรวดเร็ว” ซึ่งหมายความว่าเด็กทารกที่ได้รับอาหารสูตรทารกมีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเร็วกว่าในช่วงแรกเมื่อเทียบกับทารกที่เลี้ยงด้วยนมแม่

การศึกษานี้พบว่าการเจริญเติบโตในช่วงแรกอย่างรวดเร็วไม่ได้อธิบายการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงต่อโรคอ้วนในเด็กก่อนวัยเรียน 

เวลาการป้อนอาหารแข็ง, โรคอ้วน และทารกที่เลี้ยงด้วยนมแม่

น่าสนใจว่านักวิจัยไม่ได้มีข้อสรุปที่เหมือนกันสำหรับทารกที่ได้รับนมแม่ แต่พบว่ามีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยในอัตราการเป็นโรคอ้วนในเด็กที่เริ่มอาหารแข็งก่อนอายุ 4 เดือน เด็กที่เริ่มอาหารแข็งในช่วงระหว่าง 4-5 เดือน และเด็กที่เริ่มอาหารแข็งหลัง 6 เดือน

ดูเหมือนว่าอัตราการเป็นโรคอ้วนในเด็กทารกที่เลี้ยงด้วยนมแม่จะคล้าย ๆ กันหมด

นั่นหมายความว่าแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ควรจะมั่นใจว่าพวกเขาจะเริ่มอาหารแข็งเร็วแค่ไหนก็ได้ตามต้องการ ? ก็ไม่เชิง คุณต้องเตือนตนเองไว้ว่าการศึกษานี้พิจารณาเพียงแค่ความเสี่ยงทางสุขภาพเพียงอย่างเดียวคือโรคอ้วน อย่างไรก็ตาม การศึกษาในอดีตได้พิจารณาแล้วว่าการเริ่มอาหารแข็งก่อนอายุ 4 เดือนอาจทำให้มีความเสี่ยงทางสุขภาพอื่น ๆ ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากทารกยังขาดการควบคุมศีรษะที่ดีพอ และยังอาจมีปฏิกิริยาตอบสนองที่รู้จักกันในชื่อ “tongue reflex” เด็กที่อายุน้อยกว่า 4 เดือนจึงมีแนวโน้มที่จะสำลักได้มากกว่า แม้จะเป็นอาหารบดสำหรับทารกและซีเรียลสำหรับทารกที่ผสมอย่างเจือจาง แม้ว่าความเป็นจริงคือไม่มีข้อแตกต่างที่ชัดเจนสำหรับเวลาในการเริ่มป้อนอาหารแข็งในทารกที่เลี้ยงด้วยนมแม่และความเสี่ยงของการเป็นโรคอ้วนในเด็กวัยก่อนเข้าโรงเรียน แต่การศึกษานี้ก็ยังคงโน้มน้าวให้พ่อแม่ทำตามคำแนะนำเรื่องของเวลาในการเริ่มป้อนอาหารแข็งในระหว่างช่วงอายุ 4-6 เดือนของ AAP อยู่


2 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
verywellfamily.com, Risks when starting to feed the baby too quickly (https://www.verywellfamily.com/potential-risks-when-you-start-baby-food-early-284371)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป