กองบรรณาธิการ HonestDocs
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HonestDocs

Myoclonus (กระตุกรัว)

เผยแพร่ครั้งแรก 18 มิ.ย. 2019 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 4 นาที

อาการกระตุกรัว คือการกระตุกอย่างรวดเร็วของกล้ามเนื้อที่ไม่สามารถควบคุมหรือหยุดได้ อาการนี้สามารถเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อชุดเดียวหรือหลายชุดพร้อมกันก็ได้ และการเคลื่อนไหวก็อาจเกิดขึ้นเป็นรูปแบบ (Pattern) หรือแบบสุ่มๆ ก็ได้เช่นกัน

อาการกระตุกรัวมักเป็นอาการของภาวะผิดปกติบางอย่าง การสะอึกก็จัดว่าเป็นอาการกระตุกรัวชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นการกระตุกตามหลังการคลายตัวลงของกล้ามเนื้อ อาการกระตุกรัวประเภทนี้มักไม่เป็นอันตราย แต่ก็อาจเกิดขึ้นซ้ำๆ จนสร้างความไม่สบายตัวได้ และอาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันด้วย

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

อาการกระตุกรัวมีหลายชนิด ซึ่งถูกจำแนกตามสาเหตุการเกิดดังต่อไปนี้

  • Action Myoclonus เป็นการกระตุกรัวที่มีความร้ายแรงที่สุด สามารถเกิดกับแขน ขา ใบหน้า และเสียงได้ การกระตุกของกล้ามเนื้อจะรุนแรงขึ้นหากพยายามควบคุมอาการ และมักเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยขาดออกซิเจนหรือมีการไหลเวียนโลหิตไปยังสมองน้อยลง
  • Cortical Reflex Myoclonus เกิดจากชั้นนอกสุดของสมอง เป็นรูปแบบหนึ่งของโรคลมชัก (Epilepsy) การกระตุกอาจเกิดกับกล้ามเนื้อไม่กี่ชุดที่ส่วนหนึ่งของร่างกาย หรือเกิดกับกล้ามเนื้อหลายๆ ชุดทั่วทั้งร่างกาย และอาจจะทรุดลงได้หากมีการขยับร่างกายบางทิศทาง
  • Essential Myoclonus เกิดขึ้นโดยไม่มีภาวะต้นตอและไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด เป็นชนิดอาการกระตุกที่คงที่และจะหายไปเองโดยที่อาการไม่ได้รุนแรงขึ้น
  • Palatal Myoclonus เกิดกับเพดานปากที่เป็นส่วนอ่อนนุ่ม ทำให้เกิดการบีบรัดตัวเป็นจังหวะซึ่งสามารถเกิดกับข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างของเพดานปากก็ได้ อาการนี้อาจส่งผลกับใบหน้า ลิ้น ลำคอ และกระบังลม การกระตุกจะเกิดขึ้นเร็วมาก (อาจถึง 150 ครั้งต่อนาที) และบางคนอาจได้ยินเสียง คลิ๊ก ในหูจากการบีบรัดตัวของกล้ามเนื้อแต่ละครั้งได้ด้วย
  • Physiological Myoclonus ตัวอย่างการกระตุกรัวชนิดนี้มีทั้งการสะอึก นอนกรน การกระตุกที่เกี่ยวกับความกังวลหรือการออกกำลังกาย และการกระตุกของกล้ามเนื้อขณะเด็กทารกนอนหลับ
  • Progressive Myoclonus Epilepsy (PME) คือกลุ่มของโรคที่ทรุดลงตามกาลเวลาและสามารถกลายเป็นปัญหาร้ายแรงได้ โดยมากมักจะเกิดในเด็กหรือวัยรุ่น ทำให้เกิดอาการชัก ลมบ้าหมู และอาการรุนแรงต่าง ๆ ที่ส่งผลให้พูดและขยับร่างกายลำบาก ภาวะนี้มีอยู่หลายชนิด ได้แก่
    • Lafora Body Disease โรคทางพันธุกรรมที่ทำให้เกิดอาการกระตุกรัว ชัก และสมองเสื่อม
    • Cerebralstorage Diseases มักทำให้เกิดอาการกระตุกรัว มีปัญหาการมองเห็นและสมองเสื่อม ผลที่ตามมาคือภาวะกล้ามเนื้อบิดเกร็ง (Dystonia) ที่ทำให้มีอิริยาบถไม่ปกติ
    • System Degenerations ทำให้เกิดอาการชัก และทรงตัวไม่อยู่ขณะยืนหรือเดิน
  • Reticular Reflex Myoclonus คือลมชักประเภทหนึ่งที่เริ่มจากก้านสมอง การกระตุกมักจะเกิดทั่วร่างกายทำให้เกิดปฏิกิริยากับกล้ามเนื้อทั้งสองซีก การกระตุกอย่างรุนแรงอาจเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อทุกส่วนหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายก็ได้ อาการนี้สามารถเกิดได้จากการถูกสิ่งเร้าภายนอกกระตุ้นอีกด้วย
  • Stimulus-sensitive Myoclonus คืออาการกระตุกรัวที่เกิดจากเหตุการณ์ภายนอก เช่นเสียงดัง การเคลื่อนไหว หรือแสง ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้มักจะมีอาการกระตุกรุนแรงจากการตกใจ
  • Sleep Myoclonus เกิดขึ้นในช่วงเวลานอนหลับ อาการชนิดนี้ไม่ต้องได้รับการรักษา แต่อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะนอนหลับผิดปกติที่ร้ายแรงได้ เช่น กลุ่มอาการขาอยู่ไม่สุข (Restless Leg Syndrome) เป็นต้น

อาการของภาวะกระตุกรัว

อาการจากภาวะกระตุกรัวมีอยู่หลายระดับ ตั้งแต่เบามากไปจนถึงรุนแรงมาก อาการกระตุกอาจเกิดขึ้นนานๆ ครั้งหรือเกิดบ่อยครั้ง ทุกส่วนของร่างกายสามารถเกิดอาการกระตุกรัวได้หมด โดยทั่วไปแล้วรูปแบบของอาการกระตุกรัว สามารถสรุปออกมาได้ดังนี้

  • คาดเดาไม่ได้ เพราะสามารถเกิดขึ้นได้กะทันหัน
  • เกิดเพียงชั่วขณะ
  • ควบคุมไม่ได้
  • มีความรุนแรงและความถี่ที่ไม่สม่ำเสมอ
  • เกิดได้กับทุกส่วนในร่างกาย
  • ส่งผลรบกวนการกิน การพูดจา หรือการเคลื่อนไหวตามปกติ

สาเหตุของการเกิดอาการกระตุกรัว

อาการกระตุกรัวอาจเกิดขึ้นได้เอง หรือเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้

  • การติดเชื้อ
  • โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
  • การกระทบกระแทกที่ไขสันหลังหรือศีรษะ
  • เนื้องอกในสมองหรือไขสันหลัง
  • ไต หรือตับล้มเหลว
  • โรคผิดปกติของการสะสมไขมัน (Lipid Storage Disease)
  • ผลเสียจากการใช้ยาหรือสารเคมี
  • ภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจน (Hypoxia)
  • ภาวะอักเสบจากภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune Inflammatory Conditions)
  • ภาวะผิดปกติที่ระบบเผาผลาญ
  • กลุ่มอาการการดูดซึมอาหารผิดปกติ เช่น โรคแพ้กลูเตน (Celiac Disease)
  • ภาวะผิดปกติทางประสาทวิทยา เช่น

การวินิจฉัยอาการกระตุกรัว

การทดสอบหลายวิธีสามารถช่วยให้แพทย์ตรวจพบและวินิจฉัยสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการกระตุกรัวได้ เมื่อผู้ป่วยไปพบแพทย์ และได้มีการตรวจร่างกายขั้นเริ่มต้นแล้ว แพทย์อาจพิจารณาใหผู้ป่วยเข้ารับการทดสอบเพิ่มเติมดังต่อไปนี้

  • การทดสอบกิจกรรมไฟฟ้าสมอง (Electroencephalography (EEG))
  • การถ่ายภาพสะท้อนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging (MRI)) หรือการสแกนคอมพิวเตอร์ (Computed Tomography (CT)) เพื่อระบุปัญหาด้านโครงสร้างหรือหาเนื้องอก
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (Electromyogram (EMG)) เพื่อวัดการกระตุ้นของกล้ามเนื้อสำหรับระบุชนิดของอาการกระตุกรัว
  • การทดสอบในห้องปฏิบัติการณ์เพื่อมองหาร่องรอยของภาวะที่อาจส่งผลให้เกิดอาการกระตุกรัว เช่น
    • โรคเบาหวาน (Diabetes)
    • ภาวะดูดซับอาหารผิดปกติ (Metabolic Disorders)
    • โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง
    • โรคไตหรือโรคตับ
    • ยาหรือสารพิษต่าง ๆ

การรักษาอาการกระตุกรัว

หากอาการกระตุกรัวเกิดจากภาวะสุขภาพ แพทย์จะพยายามรักษาภาวะนั้นๆ ให้สำเร็จเสียก่อน แต่หากเป็นโรคที่รักษาไม่หาย การรักษาจะมีเป้าหมายเพื่อลดความรุนแรงกับความถี่ของอาการลงแทน โดยวิธีดังนี้

  • การใช้ยา แพทย์อาจจ่ายยาระงับประสาท ยากดประสาท หรือยากันชักเพื่อลดอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ
  • การผ่าตัด แพทย์อาจแนะนำให้เข้ารับการผ่าตัดหากอาการกระตุกรัวเกี่ยวข้องกับเนื้องอกหรือรอยโรคในสมองและไขสันหลัง
  • การรักษาทางเลือก การฉีด Onabotulinum toxin A (Botox) อาจช่วยรักษาอาการกระตุกรัวที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายได้ โดยสารตัวนี้จะออกฤทธิ์ยับยั้งการปล่อยสารเคมีส่งสัญญาณที่ทำให้เกิดอาการกระตุกลง

การป้องกันอาการกระตุกรัว

ขณะนี้ยังไม่มีวิธีป้องกันการเกิดอาการกระตุกรัว แต่ทุกคนสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการกระตุกรัวจากสาเหตุต่างๆ ที่ชัดเจนได้ ด้วยป้องกันการบาดเจ็บของศีรษะและสมอง ด้วยการสวมใส่หมวกนิรภัยหรือเครื่องป้องกันศีรษะ ขณะทำกิจกรรมเสี่ยง เช่น การขับขี่จักรยานหรือจักรยานยนต์ เป็นต้น

ที่มาของข้อมูล

Anna Zernone Giorgi, myoclonus (https://www.healthline.com/symptom/myoclonic-jerks), 9 ธันวาคม 201


18 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)