ไขปัญหาสุขภาพ

เผยแพร่ครั้งแรก 11 เม.ย. 2018 อัปเดตล่าสุด 11 ก.พ. 2020 เวลาอ่านประมาณ 3 นาที

Q : ฉันเลี้ยงลูกด้วยอาหารที่ฉันคิดว่าครบถ้วนสมบูรณ์พอสมควร แต่พวกเขาอยู่ในช่วงวัยรุ่น และเมื่อเขารับประทานอาหารนอกบ้าน เขา มักจะเลือกรับประทานเป็นแฮมเบอร์เกอร์ ฮอตด็อก นมปั่น และอาหาร ขยะอื่นๆ อาหารเหล่านี้จะส่งผลเสียกับเด็กๆ ไหมคะ

A : ครับ หากจะพิจารณาอาหารแต่ละคํา แต่ละมื้อ หรือน้ำแต่ละอึกแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าอาหารเหล่านี้มีข้อเสียมากกว่าข้อดีครับ ยกตัวอย่างเช่น เบอร์เกอร์จานด่วนหนึ่งชิ้น อาจให้โปรตีนที่วัยรุ่นชายต้องการต่อวันได้ร้อยละ 44 แต่เมื่อคุณพบว่าบิ๊กแมคหนึ่งชิ้นให้พลังงานถึง 600 แคลอรี ไขมัน 33 กรัม น้ำตาล 8 กรัม และเกลือโซเดียมถึง 1,050 มก. คุณคงเข้าใจว่า มันช่างไม่คุ้มกันเลยกับโปรตีนที่ได้รับ ไม่มีใครต้องการเกลือมากขนาดนั้น หรอกครับ (ดูเพิ่มเติมในตอนที่ 350) และแม้แต่สลัดไก่กรอบของแมคโดนัลด์ ก็ไม่ได้มีคุณค่าทางโภชนาการดีไปกว่ากันเท่าใดนัก เพราะมันมีไขมันถึง 21 กรัมและเกลือโซเดียมถึง 1,130 มก.

สําหรับฮ็อตด็อก ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับมันให้พูดถึงเท่าไรนัก มันมีไขมันสูง โปรตีนต่ำ และมักมีโซเดียมหรือโพแทสเซียมไนไตรท์ ไนไตรท์จะรวมกับสาร ที่ชื่อเอมีนซึ่งพบมากในอาหาร และเกิดเป็นไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

เครื่องดื่มปั้น ซึ่งมีนมหรือผลิตภัณฑ์จากนมเป็นส่วนประกอบหลัก มักมีน้ำตาล 8-14 ช้อนชา และเกลือ 276-685 มก. ที่จริงแล้วลูกๆของคุณสามารถ หัดทําเครื่องดื่มปั้นเองที่บ้านได้ ซึ่งนอกจากจะประหยัดไปกว่าครึ่งแล้ว ยังมี แคลอรี น้ำตาลและเกลือน้อยกว่าที่มีขาย และอาจเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ ให้มากขึ้นด้วยก็ได้ ลองบอกเล่าข้อมูลเหล่านี้ให้เด็กๆ ฟัง อาจช่วยให้เขาละเลิกอาหารจานด่วนเหล่านั้นได้

Q : แพทย์บอกว่าฉันมีติ่งเนื้อ (polyp) ในลําไส้ใหญ่ คุณพอจะแนะนํา ได้ไหมคะว่ามีวิตามินอะไรที่จะช่วยให้มันโตช้าลง หรือลดความเสี่ยงต่อ การเป็นมะเร็งลําไส้

A : ผมแนะนําได้และพร้อมจะแนะนําครับ ผมหวังอยากให้ประชาชน รู้ข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งลําไส้และมะเร็งลําไส้ใหญ่มากขึ้น เพราะมะเร็งชนิดนี้ พบบ่อยในสหรัฐอเมริกา และเป็นมะเร็งที่สามารถป้องกันได้ เนื่องจากปัจจัย แวดล้อม โดยเฉพาะอาหาร มีส่วนต่อการเกิดมะเร็ง เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันดีว่า ผู้ที่รับประทานอาหารไขมันสูงจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลําไส้ใหญ่ มากกว่าผู้ที่รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูงและรับประทานผักผลไม้ หลากหลาย การศึกษาพบว่า กรดโฟลิกอาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งลําไส้ มีการศึกษาหนึ่งพบว่า ผักโขมเพียงครึ่งถ้วยต่อวัน จะให้โฟลิกเพียงพอต่อ การลดความเสี่ยงของมะเร็งได้ แต่หากคุณไม่ใช่ป๊อปอายที่ชอบรับประทาน ผักโขม ผมแนะนําให้รับประทานโฟลิกเสริม ขนาด 400 มคก. 2 เม็ดต่อวัน และแนะนําแคลเซียม 500 มก. และแมกนีเซียม 250 มก. วันละ 2 เวลาด้วย (คุณควรได้รับวิตามินดี 400 ไอยู ควบคู่กันไปด้วย เพื่อเสริมการดูดซึมของ แคลเซียม) และเนื่องจากสารยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอสจะช่วยยับยั้งการเจริญ เติบโตของเนื้องอก และกรดไฟติกเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถขับ โลหะหนักซึ่งอาจก่อให้เกิดเนื้องอกได้ ผมจึงขอแนะนําให้ดื่มนมถั่วเหลือง ทุกวัน เพราะนมถั่วเหลืองมีทั้งสารยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอสและกรดไฟติกในปริมาณสูง (ดูเพิ่มเติมในตอนที่ 133 เกี่ยวกับถั่วเหลือง)

 Q : บ่อยครั้งที่ผมจะรู้สึกร้อนหรือแสบบริเวณลิ่นและริมฝีปาก โดย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาหารที่ผมรับประทานแต่อย่างใด มันเป็นอาการของ การขาดวิตามินหรือเปล่าครับ

A : เป็นไปได้มากครับ ความรู้สึกแสบบริเวณลิ้นและริมฝีปากอาจเกี่ยวข้อง กับการขาดวิตามินบี 1 (ไทอะมีน) ได้ ผมแนะนําให้รับประทานอาหารพวก ที่ทําจากแป้งโฮลวีต ข้าวโอ๊ต รําข้าว ผัก และบริวเวอร์ยีสต์ให้มากขึ้น ร่วมกับ รับประทานวิตามินบีรวมสูตรสมดุล ขนาด 50 มก. สองเวลาพร้อมอาหาร และวิตามินรวมเอ็มวีพี (ดูเพิ่มเติมในตอนที่ 206)

 Q : คุณแม่ของฉันอยากรับประทานน้ำแข็งมาก ไม่เพียงแต่ในวันที่ อากาศร้อน แต่คุณแม่โหยหามันทุกวัน เธอเคี่ยวน้ำแข็งเล่นราวกับเป็นขนม อาการอยากน้ำแข็งนี้มีความเกี่ยวข้องกับการขาดสารอาหารอะไรหรือไม่

A : หากคุณแม่ของคุณมีอาการอ่อนเพลียง่าย ความอยากน้ำแข็งอาจ บ่งบอกถึงการขาดธาตุเหล็ก (ซึ่งทําให้เป็นโลหิตจางได้) คุณอาจแนะนําให้ คุณแม่รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง (ตับ พีชแห้ง เนื้อแดง หอยนางรม หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโอ๊ต) หรือรับประทานธาตุเหล็กเสริม ขนาด 50 - 100 มก. ต่อวัน (ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวัดระดับธาตุเหล็กในร่างกายก่อน หากพบ ว่ามีการขาดธาตุเหล็กจริง จึงค่อยรับประทานเสริม-ผู้แปล)

 Q: ฉันอายุ 42 ปี และสังเกตว่ามีตุ่มสีเหลืองๆ ขึ้นรอบดวงตา มันเกิด จากการขาดสารอาหารอะไรหรือเปล่า

A : เป็นไปได้สูงที่สุ่มเหล่านั้นเกิดจากการสะสมของคอเลสเตอรอล ซึ่ง เกิดขึ้นเมื่อร่างกายพยายามจะกําจัดคอเลสเตอรอลส่วนเกิน ภาวะนี้มักเป็น กรรมพันธุ์ และอาจบ่งบอกว่าคุณมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจสูงกว่าคน ทั่วไป ดูเพิ่มเติมในตอนที่ 94 ว่าคุณจะลดระดับคอเลสเตอรอลลงได้อย่างไร และควรเพิ่มการรับประทานวิตามินบี โครเมียม และสังกะสีในอาหารและ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

 Q : วิตามินซีในน้ำส้มจะคงอยู่ได้นานเท่าไรครับ

A : สําหรับน้ำส้มที่วางขายทั่วไป วิตามินซีจะอยู่ได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ นับจากเมื่อคุณเปิดภาชนะบรรจุ สําหรับน้ำส้มคั้นสด หากเก็บในภาชนะที่ปิด : อย่างดีในตู้เย็น วิตามินซีจะคงอยู่ได้ประมาณ 3 สัปดาห์

 Q : การทําอาหารด้วยไมโครเวฟ ทําให้สูญเสียสารอาหารมากกว่า หรือน้อยกว่าการทําอาหารแบบปกติ

A : โดยทั่วไปคือน้อยกว่า การทําอาหารด้วยไมโครเวฟใช้เวลาสั้นกว่า และใช้น้ำในการประกอบอาหารน้อยกว่า

 หากคุณเห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์และอยากอ่านเกี่ยวกับหัวข้อนี้เพิ่มเติม สามารถสนับสนุน ดร.เอิร์ล มินเดลล์ (ผู้แต่ง) พญ. ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล (แปล) ได้โดยการซื้อหนังสือวิตามินไบเบิล


3 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)