ซีสต์ (Cyst)

ซีสต์มีกี่ประเภท สามารถเจริญเติบโตไปเป็นมะเร็งได้หรือไม่ มีวิธีรักษาและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอย่างไร?
เผยแพร่ครั้งแรก 24 เม.ย. 2019 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 3 นาที
ซีสต์ (Cyst)

ซีสต์มีลักษณะเป็นถุงน้ำที่ภายในบรรจุด้วยของเหลว อากาศ หรือสารอื่นๆ โดยจะเกิดขึ้นบนเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ของร่างกาย หรือเกิดขึ้นใต้ผิวหนัง ซีสต์มีด้วยกันหลายชนิด แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อเยื่อไม่ร้ายและไม่กลายเป็นเนื้องอกมะเร็ง

ซีสต์สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

  • การติดเชื้อ
  • โรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
  • การอักเสบเรื้อรัง
  • การอุดตันของท่อต่างๆ ในร่างกาย

ชนิดของซีสต์ และภาวะที่ทำให้เกิดซีสต์

ซีสต์แบ่งออกได้หลายร้อยชนิด สามารถเกิดขึ้นที่ใดก็ได้ของร่างกาย ในบางกรณีอาจพบว่าซีสต์เป็นส่วนหนึ่งของอาการในโรคอื่นๆ เช่น โรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ และถุงน้ำหลายถุงในไต โดยซีสต์ชนิดที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่

  • ซีสต์ชนิด Epidermoid (Epidermoid Cyst) : มีขนาดเล็ก โตช้า มักพบมากที่ใบหน้า ศีรษะ คอ หลัง หรือที่อวัยวะเพศ เกิดจากการสะสมเคอราติน (Keratin) ภายใต้ผิวหนัง ลักษณะจะเป็นก้อนสีเดียวกับผิวหนัง ภายในสะสมไปด้วยสารข้นหนืด
  • ซีสต์ที่เต้านม (Breast Cyst) : ส่วนใหญ่แล้วก้อนในเต้านมมักไม่ใช่มะเร็ง แต่ถ้าบริเวณเต้านมมีสิ่งผิดปกติ เช่น ก้อนที่เต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้น มีของเหลวไหลจากหัวนม หรือหัวนมบอด (ถ้าปกติแล้วหัวนมไม่ได้บอด) ก็ควรไปพบแพทย์ทันที
  • ก้อนถุงน้ำที่มือและข้อมือ (Ganglion) : เป็นก้อนถุงน้ำลักษณะกลม มีของเหลวอยู่ภายใน มักเกิดขึ้นที่บริเวณเส้นเอ็นหรือข้อต่อ โดยเฉพาะที่มือ ข้อมือ ข้อเท้า และเท้า มีสาเหตุมาจากการบาดเจ็บ อุบัติเหตุ หรือการใช้งานมากเกินไป แต่ส่วนใหญ่แล้วมักไม่ทราบสาเหตุ
  • ซีสต์ที่บริเวณร่องก้น (Pilonidal Cyst) : เกิดขึ้นที่บริเวณเหนือร่องก้น มีลักษณะเป็นรูขนาดเล็กในผิวหนัง ซึ่งอาจมีการติดเชื้อและภายในบรรจุด้วยของเหลวหรือหนอง เชื่อว่าเกิดจากหลายสาเหตุร่วมกันคือ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การเจริญเติบโตของขน การเสียดสีจากเสื้อผ้า หรือการนั่งเป็นเวลานาน
  • ถุงน้ำหรือซีสต์ที่รังไข่ (Ovarian Cyst) : สามารถเกิดขึ้นที่ข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างของรังไข่ อาจมีอาการปวดหรือไม่มีอาการใดๆ
  • ก้อนที่เปลือกตา (Chalazion) : เป็นก้อนขนาดเล็ก บวม ไม่เจ็บ เกิดขึ้นที่เปลือกตาบนหรือเปลือกตาล่างสาเหตุเกิดจากต่อมไขมันที่เปลือกตา (Meibomian Gland) มีการอุดตัน ถ้ามีการติดเชื้อร่วมด้วย อาจทำให้มีอาการแดง บวม และปวด
  • ถุงน้ำหลังหัวเข่า (Baker’s (Popliteal) Cyst) : ทำให้ผู้ป่วยมีอาการข้อติด มีอาการปวด และการเคลื่อนไหวทำได้จำกัด สัมพันธ์กับปัญหาที่เกิดกับข้อเข่า เช่น ข้ออักเสบ (Arthritis) การอักเสบจากความเครียดที่กระทำกับเข่าซ้ำๆ หรือกระดูกอ่อนได้รับความเสียหาย
  • สิวซีสต์ (Cystic Acne) : เป็นสิวชนิดที่รุนแรงที่สุด เป็นซีสต์ที่อยู่ใต้ผิวหนังชั้นลึก เกิดจากหลายสาเหตุร่วมกัน คือ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน จากแบคทีเรีย จากไขมัน และจากเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ซึ่งมีการอุดตันภายในรูขุมขน
  • ซีสต์ขนคุด : เกิดจากการที่ขนเจริญเติบโตลงด้านล่าง หรือออกด้านข้าง แทนที่จะงอกออกมาด้านนอก ทำให้เกิดขนคุดขึ้น พบได้บ่อยในผู้ที่โกนขน แว็กซ์ หรือใช้วิธีอื่นในการกำจัดขน ลักษณะภายนอกคล้ายกับสิวใต้ผิวหนัง อาจมีสีแดง ขาว หรือสีเหลือง ซึ่งอาจมีขนที่มองเห็นอยู่ตรงกลางหรือไม่ก็ได้
  • ซีสต์ของปุ่มรากผม (Pilar Cyst) : มีสีเนื้อ ลักษณะกลม เกิดขึ้นใต้ผิวหนัง เกิดจากการสะสมของโปรตีนในปุ่มรากผม (Hair Follicle) ซีสต์ชนิดนี้มักไม่เจ็บ ค่อนข้างแข็ง ผิวเรียบ และเติบโตช้า
  • มิวคัสซีสต์ (Mucous Cyst) : เป็นซีสต์ที่ภายในบรรจุด้วยของเหลว เกิดขึ้นที่ริมฝีปากหรือภายในปาก เกิดจากต่อมน้ำลายมีการอุดตัน ทำให้มีการสะสมของเยื่อเมือกเกิดขึ้น ซีสต์ชนิดนี้มีขนาดเล็ก นิ่ม เป็นก้อนสีชมพู หรือสีฟ้า
  • ถุงน้ำที่คอ (Branchial Cleft Cyst) : เป็นความผิดปกติแต่กำเนิดชนิดหนึ่ง โดยจะมีก้อนถุงน้ำเกิดขึ้นที่ข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างของลำคอเด็กหรืออยู่ด้านล่างกระดูกไหปลาร้า ส่วนใหญ่แล้ว ถุงน้ำชนิดนี้ไม่เป็นอันตราย แต่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนัง หรือมีการติดเชื้อ

เมื่อไรที่ควรไปพบแพทย์เมื่อเป็นซีสต์

โดยทั่วไปซีสต์จะเจริญเติบโตช้าและมีผิวเรียบ มีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่มาก ซีสต์ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการเจ็บปวด และมักไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ ยกเว้นถ้ามีอาการต่อไปนี้ ก็ควรไปพบแพทย์

  • มีการติดเชื้อ
  • มีขนาดใหญ่มาก
  • กดทับเส้นประสาทหรือหลอดเลือด
  • โตขึ้นบนบริเวณที่มีความไวเป็นพิเศษ
  • ซีสต์ส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะในร่างกาย

แพทย์จะทำการตรวจซีสต์ให้ แม้จะไม่มีอาการปวดหรืออาการใดๆ ก็ตาม เพราะก้อนผิดปกติในร่างกายอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคมะเร็งได้ ซึ่งแพทย์อาจเจาะหรือตัดตัวอย่างชิ้นเนื้อไปตรวจเพิ่มเติมด้วย

การรักษาซีสต์

การรักษาซีสต์ สามารถทำได้สองวิธี ได้แก่

  • การดูแลด้วยตนเอง : ในบางกรณี ซีสต์จะสามารถหายไปได้เอง การประคบอุ่นบนซีสต์จะช่วยให้หายเร็วขึ้นเพราะจะช่วยให้เกิดการระบายของเหลวออก แต่ไม่ควรบีบหรือทำให้ซีสต์แตกด้วยตนเอง เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้
  • การดูแลรักษาทางการแพทย์ : วิธีการรักษาทางการแพทย์ที่ใช้ในการรักษาซีสต์ ได้แก่
    • แพทย์จะใช้เข็มเจาะระบายของเหลวและสิ่งแปลกปลอมในซีสต์ออก
    • แพทย์จะใช้ยาในการรักษา เช่น ยาสเตียรอยด์ชนิดฉีด เพื่อลดอาการอักเสบของซีสต์
    • แพทย์จะทำการผ่าตัดเอาซีสต์ออก ซึ่งอาจใช้วิธีนี้หากการเจาะระบายของเหลวออกไม่ประสบความสำเร็จ หรือซีสต์อยู่ลึกมากและจำเป็นต้องรักษา

การป้องกันการเกิดซีสต์

มีซีสต์บางชนิดที่สามารถป้องกันได้ เช่น

  • ซีสต์ที่รังไข่ : อาจป้องกันได้ด้วยการใช้ฮอร์โมนคุมกำเนิด
  • ก้อนที่เปลือกตา : อาจป้องกันได้ด้วยการทำความสะอาดเปลือกตาใกล้กับแนวขนตาด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนจะช่วยป้องกันการอุดตันของท่อไขมันบริเวณนั้น
  • ซีสต์ที่บริเวณร่องก้น : อาจป้องกันได้ด้วยการทำความสะอาดบริเวณร่องก้นให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง รวมถึงลุกขึ้นยืนบ่อยๆ อย่านั่งนานเกินไป

ที่มาของข้อมูล

Amanda Delgago, What’s Causing This Cyst? (https://www.healthline.com/health/cyst), August 11, 2017.


12 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป
อาหารต้านเชื้อราแคนดิดา (Candida Diet)
อาหารต้านเชื้อราแคนดิดา (Candida Diet)

หากจำนวนเชื้อราแคนดิดาในร่างกายมีมากเกินไป อาจนำไปสู่การติดเชื้อที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

อ่านเพิ่ม
การติดเชื้อราที่เล็บเท้า
การติดเชื้อราที่เล็บเท้า

คุณมีเล็บเท้าที่หนาและเป็นสีเหลืองหรือไม่?

อ่านเพิ่ม