กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD

ภาพรวมของพฤติกรรมข่มขู่คุกคาม

เผยแพร่ครั้งแรก 26 ม.ค. 2017 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 5 นาที
ภาพรวมของพฤติกรรมข่มขู่คุกคาม

การแยกแยะพฤติกรรมข่มขู่คุกคาม (Bullying) จะช่วยให้เข้าใจความหมายที่ชัดเจน ไม่เหมารวมว่าทุกการกระทำ คือ พฤติกรรมข่มขู่คุกคาม การเรียกทุกพฤติกรรมที่หยาบคายของเด็กว่าพฤติกรรมข่มขู่คุกคามทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมข่มขู่คุกคามมีการผิดเพี้ยน ทำให้การป้องกันความรุนแรงของพฤติกรรมเสี่ยงนี้ถูกลดทอน และมีปัญหาเพิ่มขึ้น พฤติกรรมข่มขู่คุกคาม (Bullying) แบ่งเป็นหลายประเภท เช่น

  • การคุกคามเชิงสัมพันธภาพ (relational aggression)
  • การคุกคามทางสื่อออนไลน์ (cyberbullying)
  • การข่มขู่ด้วยวาจา (verbal bullying)
  • การคุกคามทางเพศ (sexual bullying)

การกำหนดประเภทของพฤติกรรมข่มขู่คุกคาม คือ มองหา 3 องค์ประกอบสำคัญที่พบมากที่สุด เช่น

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

  • ความไม่สมดุลของอำนาจ
  • การกระทำซ้ำๆ
  • การกระทำโดยเจตนา

เป็นสิ่งสำคัญที่จะรู้ถึงกลยุทธ์หรือรูปแบบของพฤติกรรมข่มขู่คุกคามที่ใช้กับเป้าหมายบุคคล

ส่วนประกอบของพฤติกรรมข่มขู่คุกคาม

ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมข่มขู่คุกคามยอมรับว่า สิ่งที่นอกเหนือจากพฤติกรรมที่โหดร้ายแล้ว ผู้มีพฤติกรรมข่มขู่คุกคามยังตั้งใจที่จะทำอันตรายต่อบุคคลเป้าหมาย มีความเกี่ยวช้องกับการไม่สมดุลของอำนาจ มีพฤติกรรมซ้ำๆ มักไม่กระทำเพียงครั้งเดียวแต่เป็นรูปแบบต่อเนื่อง เมื่อมีความไม่สมดุลของอำนาจเป็นการยากที่บุคคลเป้าหมายจะปกป้องตัวเองจากการโจมตีของคนพาล

  • ความไม่สมดุลของอำนาจ
    สามารถเป็นได้ทั้งทางร่างกายหรือทางด้านจิตวิทยา ทางร่างกาย เช่น มีอายุมากกว่า ร่างกายใหญ่และแข็งแกร่งกว่า หรืออาจเป็นแก๊งอันธพาลกำหนดเป้าหมายบุคคล ส่วนทางด้านจิตวิทยาจะแยกแยะยากกว่า ได้แก่ การมีสถานะทางสังคมที่สูงกว่า การใช้คารมเก่งกว่า หรือมีอิทธิพลมากในโรงเรียน ผลจากความไม่สมดุลของอำนาจ คือ เป้าหมายบุคคลของผู้มีพฤติกรรมข่มขู่คุกคามจะรู้สึกอ่อนแอ ถูกกดขี่คุกคาม และไม่ปลอดภัย
  • การกระทำซ้ำ
    โดยปกติแล้วพฤติกรรมข่มขู่คุกคามไม่ได้เป็นการกระทำเพียงครั้งเดียวของพฤติกรรมถ่อยหรือพฤติกรรมหยาบคาย แต่เป็นพฤติกรรมปกติต่อเนื่องและยาวนาน คนอันธพาลมักรังแกเป้าหมายบุคคลหลายครั้ง บางครั้งผู้มีพฤติกรรมข่มขู่คุกคามจะกระทำการแบบเดียวกันหรือมากกว่า เช่น ให้ทำการบ้านหรือเอาเงินอาหารกลางวันของเด็ก อาจมีหลากหลายของการกระทำ เช่น เรียกชื่อบุคคลเป้าหมายแบบหยาบคายหรือน่าขบขัน ทำให้สะดุดล้มในห้องโถง และการโพสต์ประจานทางสิ่อออนไลน์ รูปแบบอันพาลจะมีการทำซ้ำอย่างยาวนาน อาจรวมถึงการไม่ให้เข้าร่วมในกิจกรรม การโพสต์ประจานทางสื่อออนไลน์ กระจายข่าวลือในทางไม่ดี การกลั่นแกล้งด้วยการแสดงอารมณ์รุนแรง ประเด็น คือ เด็กพูดคำหยาบและทำสิ่งโหดร้าย การไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมแม้จะไม่ได้หมายถึงพฤติกรรมข่มขู่คุกคาม แต่หากเป็นการทำซ้ำๆ มากกว่าหนึ่งครั้งก็จัดเป็นพฤติกรรมอันธพาลได้
  • การกระทำโดยเจตนา
    เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมข่มขู่คุกคามออกจากพฤติกรรมหยาบคายหรือโหดร้ายอื่นๆ คนอันธพาลจะมีความตั้งใจที่จะทำอันตรายต่อเป้าหมายบุคคล คนอันธพาลจะมีวัตถุประสงค์รังแกคนอื่น พฤติกรรมของพวกเขาไม่ใช่อุบัติเหตุและไม่ได้เป็น "ตลก" ไม่มีอะไรตลกสำหรับเหยื่อที่ถูกคุกคาม แต่ผลที่ตามมาคือผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออาจรู้สึกอับอาย เสียใจ กลัว เศร้า หรือโกรธ และอาจโหดร้ายจนกระทั่งผู้ตกเป็นเหยื่อเริ่มรู้สึกกังวลและไม่อยากไปโรงเรียน

กลยุทธ์ที่ใช้ในพฤติกรรมข่มขู่คุกคาม

มีหลายวิธีที่คนอันธพาลใช้ระรานคนอื่น ทั้งทางร่างกายวาจา การคุกคามเชิงสัมพันธภาพ คุกคามทางเพศ การการกล่าวให้ร้าย การกลั่นแกล้งทางสื่อออนน์ไลน์

การระรานทางร่างกาย (Physical Bullying) 

เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการจัดประเภท มักจะเกี่ยวข้องกับการทำร้ายร่างกาย เช่น การทุบตี การผลักแรงๆ การเตะต่อย และการทำลายหรือขโมยทรัพย์สิน การระรานทางร่างกายยังรวมถึงการคุกคามชนิดรุนแรง (threats of violence) เช่นกัน

พฤติกรรมระรานด้วยวาจา (Verbal Bullying)

จะใช้ทดแทนการตีด้วยมือหรือเท้า คนอันธพาลจะทำร้ายคนอื่นด้วยคำพูด ซึ่งรวมถึง

  • เรียกชื่อในทางหยาบคาย (name-calling)
  • ดูถูก (insulting)
  • ข่มขู่ (threatening)
  • เยาะเย้ย (mocking)
  • ด่าว่า (intimidating)
  • เหยียดสีผิว (making racist remarks)
  • ความคิดเห็นลามกด้านเพศ (sexist comments)

เป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะระหว่างล้อเล่นและการกลั่นแกล้ง แต่กฎง่ายๆ คือ ถ้าเป้าหมายบุคคลไม่ได้หัวเราะหรือมีความสนุกสนานกับการกระทำนั้น มักจะถือเป็นการคุกคามกลั่นแกล้ง

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

การคุกคามเชิงสัมพันธภาพ (Relational Aggression) 

จะใช้เรื่องความสัมพันธ์มาทำร้ายบุคคลอื่น ที่พบบ่อย คือ การเนรเทศหรือไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรม พูดลับหลังคนอื่นในแง่เสียหาย การแพร่กระจายข่าวลือ และการโกหก มีส่วนร่วมในการนินทา การคุกคามเชิงสัมพันธภาพมักสร้างความเจ็บปวดและทำให้เด็กขาดโอกาสที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับเพื่อนๆ โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น

การคุกคามทางสื่อออนไลน์ (Cyber Bullying) 

มักเกิดขึ้นนอกโรงเรียนโดยเครื่องมือเทคโนโลยีทั่วไปรวมถึงโทรศัพท์มือถือ การส่งข้อความ YouTube เครือข่ายสังคมออนไลน์ อีเมล และห้องสนทนาออนไลน์ เครื่องมือเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ร่วมกับการคุกคามเชิงสัมพันธภาพและพฤติกรรมระรานด้วยวาจา มีการกระทำเชิง ดูถูก ข่มขู่คุกคาม กระจายข่าวลือ และปลอมเป็นคนอื่น (impersonate) ขู่ว่าจะทำร้ายร่างกาย ปัญหาท้าทายของการคุกคามทางสื่อออนไลน์ คือ สามารถเกิดขึ้นได้ตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน เจ็ดวันต่อสัปดาห์ และสามารถทำโดยไม่ระบุชื่อ เป็นผลให้ผลกระทบของการคุกคามทางสื่อออนไลน์มีความสำคัญ

การคุกคามทางเพศ (Sexual Bullying) 

จะเกี่ยวข้องกับคำพูดและการกระทำเชิงลามกทางเพศที่น่าอับอายกับเป้าหมายบุคคล ยกตัวอย่างที่เห็นกันมากเช่น

  • เรียกเป้าหมายว่าดอกทอง (มั่วเซ็กส์)
  • แสดงความคิดเห็นแบบดิบๆ เถื่อนๆ
  • แสดงท่าทางหยาบคาย
  • เชื้อเชิญ (propositioning)
  • นำเสนอวัสดุลามกอนาจารทางเพศ
  • เรียกชื่อแนวลามก

ส่วนใหญ่ของการคุกคามทางเพศมักเกี่ยวข้องกับเด็กชายคุกคามเด็กหญิงหรือเด็กหญิงคุกคามเด็กหญิง ไม่ค่อยเจอเด็กหญิงคุกคามเด็กชาย เช่น เด็กชายคนหนึ่งอาจจะให้ความเห็นแบบลามกกับร่างกายของเด็กหญิง ในขณะที่เด็กหญิงอาจแพร่กระจายข่าวลือเกี่ยวกับกิจกรรมทางเพศของเด็กหญิงคนอื่น

การกล่าวให้ร้ายโดยอคติ (Prejudicial Bullying) 

เกิดเมื่อเด็กมีอคติเกี่ยงกับความแตกต่างทาง เชื้อชาติ ศาสนา หรือรสนิยมทางเพศ การกล่าวให้ร้ายโดยอคติจะเกิดขึ้นกับบุคคลเป้าหมายที่แตกต่างกันในทางใดทางหนึ่ง กลยุทธ์ที่ใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เช่น การคุกคามด้วยวาจา ข่มขู่ทางร่างกาย และการกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ต บางคนอาจมีการกำหนดเป้าหมายที่มากกว่าคนอื่นๆ เป็นสิ่งสำคัญที่จะรับรู้ว่าทุกคนสามารถถูกรังแกเรื่องความแตกต่างกัน

เจาะรายละเอียดภาวะคุกคาม (Spotting Bullying)

เด็กส่วนใหญ่ไม่พร้อมที่จะพูดคุยเกี่ยวกับการถูกกลั่นแกล้งหรือคุกคาม แต่เก็บรายละเอียดไว้กับตัวเองและพยายามที่จะจัดการด้วยตัวเอง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่สามารถที่จะสังเกตสัญญาณเตือนว่ามีการข่มขู่ที่เกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น เช่น อารมณ์ นิสัยการกินตารางเวลาการนอน การไม่สนใจในกิจกรรมปกติ ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการข่มขู่หลายคนจะบ่นว่ามีอาการปวดหัว ปวดท้อง และขอหยุดเรียน เกรดการเรียนต่ำลง มิตรภาพกับเพื่อนเปลี่ยนไป และทรัพย์สินสูญหาย ถ้าคุณสังเกตเห็นอาการใดๆ ข้างต้น ควรเริ่มต้นสนทนากับลูกของคุณ หยุดและฟัง ปล่อยให้ลูกของคุณพูดมากที่สุด อาจมีเพียงบางคำถามถ้าคุณจำเป็นต้องให้ชี้แจงบางสิ่งให้ลูกรู้ว่าคุณมีความภาคภูมิใจในตัวเขาและการแบ่งปัน เตือนให้ลูกกล้าที่จะพูดคุยเกี่ยวกับการถูกกลั่นแกล้ง แล้วทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขสถานการณ์รวมทั้งรายงานการถูกกลั่นแกล้งไปยังโรงเรียน

ข้อคิดจาก Verywell

การกลั่นแกล้งสามารถเกิดขึ้นกับทุกคนและทุกเพศทุกวัย ไม่ได้จำกัดเพียงในโรงเรียนมัธยม หลายคนมีประสบการณ์ถูกข่มขู่ในวิทยาลัยและในสถานที่ทำงาน ถ้าลูกของคุณกำลังประสบกับการข่มขู่ที่โรงเรียนหรือคุณกำลังประสบกับการข่มขู่ในที่ทำงาน เป็นสิ่งสำคัญที่จะใช้ขั้นตอนต่างๆ ในการแก้ปัญหาให้จบสิ้น อาจขัดแย้งกับความเชื่อที่ว่าการข่มขู่ทำให้คนที่เข้มแข็ง การข่มขู่ไม่ได้หายไปเอง การแทรกแซงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อแก้ไขสถานการณ์และจะสามารถเริ่มต้นกระบวนการบำบัด


2 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)