กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD
นพ.พิสุทธิ์ พงษ์ชัยกุล
ตรวจสอบความถูกต้องโดย
นพ.พิสุทธิ์ พงษ์ชัยกุล

ท้องอืด หลังกินอาหาร ป้องกันและแก้ไขอย่างไร

ไขข้อสงสัย ท้องอืดเกิดจากอะไร แล้วมีวิธีใดบ้างที่ช่วยป้องกันหรือบรรเทาอาการท้องอืดด้วยตัวเอง
เผยแพร่ครั้งแรก 28 มี.ค. 2017 อัปเดตล่าสุด 28 ธ.ค. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 28 ธ.ค. 2020 เวลาอ่านประมาณ 3 นาที
ท้องอืด หลังกินอาหาร ป้องกันและแก้ไขอย่างไร

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • ท้องอืดคือ ภาวะที่มีลม หรือแก๊สในกระเพาะเยอะเกินไปจนอึดอัด และต้องการระบายแก๊สเหล่านั้นออกมา มักเกิดจากการกลืนอากาศเข้าไปในระหว่างเคี้ยวอาหาร หรือเกิดจากกระบวนการย่อยอาหาร
  • วิธีป้องกันและบรรเทาท้องอืดทำได้โดยการหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เนื่องจากทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนัก และควรจดบันทึกอาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อเพื่อดูว่า มีอาหารชนิดใดบ้างที่ทำให้เกิดอาการท้องอืด
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สมาก เช่น ถั่ว ธัญพืช ผลิตภัณฑ์จากนม ผักบางชนิด น้ำอัดลม และลดปริมาณอาหารในแต่ล่ะมื้อลง โดยอาจแบ่งย่อยเป็นมื้อเล็กๆ แต่รับประทานบ่อยขึ้นแทนได้
  • หากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่ช่วยให้อาการท้องอืดดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุและเข้ารับการรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสม
  • เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง

ท้องอืด (Flatulence) เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่สำหรับบางคนอาการท้องอืดอาจเกิดขึ้นบ่อยกว่าปกติจนเริ่มรบกวนการใช้ชีวิตในปัจจุบัน เช่น ผายลมบ่อย รู้สึกอึดอัด หรือไม่สบายตัว ซึ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาจช่วยบรรเทาอาการได้

ทำความรู้จักกับอาการท้องอืด 

ท้องอืด คือภาวะที่มีลม หรือแก๊สในกระเพาะอาหารมากผิดปกติ ทำให้เกิดอาการอึดอัด แน่นท้อง มีลมในท้อง ต้องเรอบ่อยๆ และต้องการระบายแก๊สเหล่านั้นออกมา ซึ่งถือเป็นกระบวนการปกติของระบบย่อยอาหาร

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ตรวจภูมิแพ้และภาวะแพ้วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 1,376 บาท ลดสูงสุด 69%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

แก๊สในกระเพาะอาหารเกิดจาก 2 ปัจจัยหลักๆ ดังนี้

  • การกลืนอากาศเข้าไปโดยตรง ในระหว่างที่รับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำ จะมีอากาศปะปนเข้าไปในกระเพาะอาหารด้วย ทำให้เกิดการสะสมของแก๊สภายในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้การสูบบุหรี่ก็สามารถทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารด้วยเช่นกัน
  • แก๊สที่เกิดจากกระบวนการย่อยอาหาร เมื่อแบคทีเรียในกระเพาะอาหารทำการย่อยอาหารอาจทำให้เกิดแก๊สบางชนิดได้ เช่น ไฮโดรเจน (Hydrogen) มีเทน (Methane) คาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon dioxide)

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอาการท้องอืดจะเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป แต่หากเกิดบ่อยๆ หรือมีอาการร่วมกับน้ำหนักตัวลด มีอาการซีด ถ่ายอุจจาระดำ ตัวเหลืองตาเหลือง อาเจียนติดต่อกัน ปวดท้อง หรือแน่นท้องมาก ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพโดยละเอียด

เพราะนอกจากปัจจัยที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารที่กล่าวไปในข้างต้นแล้ว อาการท้องอืดยังสามารถเกิดได้จากสาเหตุอื่นๆ ที่เป็นอันตรายได้ เช่น กระเพาะอาหารอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหาร หรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด

วิธีป้องกันและบรรเทาอาการท้องอืดด้วยตัวเอง

อาการท้องอืดส่วนใหญ่มักเกิดจากการรับประทานอาหาร การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารให้เหมาะสมจึงช่วยป้องกันการเกิดอาการท้องอืด หรือบรรเทาอาการท้องอืดได้มาก มีรายละเอียดดังนี้

1. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตจำนวนมาก

การรับประทานอาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเป็นจำนวนมากจะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด การลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตในมื้ออาหารลงจึงช่วยป้องกันอาการท้องอืดได้

อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตลงได้ อาจเปลี่ยนไปรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตย่อยง่าย เช่น มันฝรั่ง ข้าว หรือกล้วยแทนได้ 

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

2. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สมาก

ตัวอย่างอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารจากกระบวนการย่อย

  • ถั่ว เนื่องจากถั่วมีแรฟฟิโนส (Raffinose) ซึ่งเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่งที่เมื่อเข้าสู่ลำไส้ใหญ่จะถูกแบคทีเรียทำลาย และทำให้เกิดเป็นแก๊สต่างๆ ขึ้นเป็นจำนวนมาก 
  • ธัญพืช ธัญพืชหลายชนิดประกอบด้วย ไฟเบอร์ แรฟฟิโนส และแป้ง ซึ่งนำไปสู่การเกิดแก๊สได้ มีเพียงข้าวเท่านั้นที่ไม่ทำให้เกิดแก๊ส 
  • ผลิตภัณฑ์จากนม ในนมจะมีน้ำตาลชนิดหนึ่งที่เรียกว่า แลคโตส (Lactose) หากระบบย่อยอาหารไม่สามารถผลิตเอนไซม์แลคเตส (Lactase) ที่ใช้ในการย่อยแลคโตสได้เพียงพอ จะทำให้เกิดอาการท้องอืดได้
  • ผักบางชนิด เช่น บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ มีปริมาณแป้งและแรฟฟิโนสจำนวนมาก 
  • น้ำอัดลม การดื่มน้ำอัดลมทำให้มีอากาศในกระเพาะอาหารมากขึ้น และเป็นสาเหตุของอาการเรอ หรือผายลมอีกด้วย
  • หมากฝรั่ง แม้ตัวหมากฝรั่งไม่ได้ทำให้เกิดแก๊สโดยตรง แต่พฤติกรรมของคนที่มักเคี้ยวหมากฝรั่งเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดการกลืนอากาศเข้าไปทีละเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัวได้ 

การหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารจำนวนมากเหล่านี้ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยป้องกันอาการท้องอืดได้ 

3. จดบันทึกอาหารที่รับประทานในแต่ละมือ

ร่างกายของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน จึงทำให้ความสามารถในการย่อยอาหารแต่ละชนิดแตกต่างกันไปด้วย ในบางรายที่ไม่สามารถย่อยอาหารที่รับประทานเข้าไปได้ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด หรือความผิดปกติอื่นๆ ตามมาได้ 

ตัวอย่างเช่น ในผู้ที่มีภาวะย่อยน้ำตาลแลคโตสผิดปกติ (Lactose intolerance) การดื่มนม หรือรับประทานอาหารที่ทำจากนมก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืดตามมาได้

การจดบันทึกอาหารที่รับประทานไปในแต่ละมื้อจะช่วยให้ทราบได้ว่า อาหารมื้อล่าสุดที่รับประทานเข้าไปมีส่วนทำให้เกิดอาการท้องอืดมากผิดปกติหรือไม่ 

แต่สำหรับใครที่ต้องการรู้ผลแน่ชัด สามารถเข้ารับการตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง ซึ่งเป็นการตรวจเลือดหาสารก่อภูมิต้านทาน (Food specific IgG) เพื่อดูว่า มีภูมิแพ้แฝงต่ออาหารชนิดใดบ้าง เป็นวิธีที่อาจช่วยระบุภูมิแพ้อาหารแฝงได้หลายร้อยชนิดในคราวเดียว

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

4. ลดปริมาณอาหารลงเล็กน้อย

หากรับประทานอาหารวันละ 3 มื้อแล้วเกิดอาการท้องอืด อาจเป็นเพราะปริมาณอาหารในแต่ละมื้อนั้นเยอะเกินไป หรือรับประทานเร็ว หรือรับประทานระหว่างทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น การเดินไปด้วยกินไปด้วย ก็จะยิ่งทำให้กลืนลมเข้าไปมากขึ้น

ดังนั้นควรแบ่งอาหารเป็น 4-5 มื้อ แต่มื้อละเล็กน้อยเท่านั้น จะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ง่ายขึ้น และควรรับประทานอาหารให้ช้าลงเพื่อลดปริมาณลมที่จะกลืนเข้าไปในท้อง 

5. ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายมีส่วนช่วยในการย่อยอาหารและป้องกันอาการท้องอืด การเดินสัก 20 นาที หลังมื้ออาหารอาจช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น 

6. ดื่มน้ำตามมากๆ 

น้ำช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น และทำให้ของเสียอ่อนตัว ขับถ่ายได้ง่าย

ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้วหลังมื้ออาหาร เพื่อช่วยให้การทำงานของระบบย่อยอาหารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้การดื่มน้ำมากๆ ในแต่ละวันจะช่วยลดกลิ่นจากการผายลมได้อีกด้วย 

7. ปรึกษาเภสัชกรเพื่อใช้ยา

เภสัชกรอาจแนะนำยาประเภท Charcoal tables ที่มีฤทธิ์ช่วยดูดซับแก๊สในกระเพาะอาหาร ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร หรืออาหารเสริมบางชนิด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน

ท้องอืดที่เกิดจากอาหารไม่ย่อยอาจเกิดจากอาการแพ้อาหารแฝงได้ หากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและเข้ารับการรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสมต่อไป

เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกการอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


6 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Peggy Pletcher, 10 Foods That Cause Gas (https://www.healthline.com/health/foods-that-cause-gas), 27 May 2020.
NHS (National Health Service), Beat the bloat (https://www.nhs.uk/live-well/eat-well/remedies-for-bloating-and-wind/), 26 May 2020.
Kati Blake, Everything You Need to Know About Flatulence (https://www.healthline.com/health/gas-flatulence), 27 May 2020.

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)