ตาฟกช้ำดำเขียว ​(Black Eyes/Bruised Eyes)

อาการตาฟกช้ำดำเขียว หมายถึงอะไร มีอาการอย่างไรบ้าง มีวิธีการรักษาอย่างไรให้หายเร็วที่สุด
เผยแพร่ครั้งแรก 3 พ.ค. 2019 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 3 นาที
ตาฟกช้ำดำเขียว ​(Black Eyes/Bruised Eyes)

ตาฟกช้ำดำเขียว หมายถึง การมีรอยช้ำรอบดวงตา โดยปกติมักเกิดจากอาการบาดเจ็บที่ศีรษะหรือใบหน้าแล้วทำให้มีเลือดออกใต้ผิวหนัง เมื่อเส้นเลือดเล็กๆ หรือเส้นเลือดฝอยภายใต้ผิวหนังแตกออก เลือดก็จะซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อรอบๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนสีรอบดวงตาหรืออาการช้ำรอบๆ ขึ้นมา

อาการตาฟกช้ำดำเขียว

นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว บางครั้ง อาการตาฟกช้ำดำเขียวอาจเกิดขึ้นภายหลังการเข้ารับกระบวนการผ่าตัดบางอย่าง เช่น การผ่าตัดเสริมจมูก หรือศัลยกรรมตกแต่งต่างๆ เนื่องจากเลือดจากหน้าผากหรือจมูกไหลมาตกตะกอนบริเวณตาด้วยแรงโน้มถ่วง แต่ถ้าหากมีการแตกหักของกระดูกบริเวณฐานของกะโหลกศีรษะจะพบเลือดขังใต้ตาเป็นขอบเขตชัดเจน ซึ่งเรียกว่า ตาแรคคูน (Raccoon Eye)

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ตรวจตา รักษาโรคตาวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 437 บาท ลดสูงสุด 61%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

ภายในเวลาสองสัปดาห์ รอยฟกช้ำสีดำหรือออกสีน้ำเงินรอบดวงตาจะค่อยๆ จางหายไปเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว เพราะเลือดใต้ผิวหนังเกิดการสลายตัวและถูกดูดซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อรอบๆ ซึ่งแต่ละคนจะใช้เวลามากน้อยไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปริมาณเลือดที่สะสมภายในผิวหนังเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าว

ภาวะแทรกซ้อนของอาการตาฟกช้ำดำเขียว

บางครั้งอาการตาฟกช้ำสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับอาการบาดเจ็บต่อดวงตา เช่น เป็นโรคภูมิแพ้อากาศ ผู้ที่เป็นโรคนี้อาจพบว่าบริเวณดวงตามีรอยช้ำรอบๆ อาการนี้เกิดขึ้นจากการไหลเวียนของเลือดที่เพิ่มมากขึ้นจากอาการแพ้ จึงทำให้เส้นเลือดดำขนาดเล็กใต้ตาของคั่งไปด้วยเลือดมากมาย

และอีกกรณีหนึ่งที่แม้จะพบได้น้อยมาก แต่อาการตาฟกช้ำในเด็กที่ไม่ได้รับการบาดเจ็บใดๆ อาจเป็นอาการเริ่มแรกของมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดไมอีลอยด์ (Myeloid Leukemia)

หากมีอาการตาฟกช้ำควรไปพบแพทย์เมื่อใด

อาการตาฟกช้ำดำเขียวอาจเป็นผลกระทบจากการแตกหักของกระดูกในบริเวณใบหน้า หากพบอาการเหล่านี้ร่วมอยู่ด้วย ภายหลังจากได้รับการกระทบกระแทก หรือเกิดอุบัติเหตุ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

การวินิจฉัยโรคจากอาการตาฟกช้ำดำเขียว

หากคุณไปพบแพทย์เพื่อรักษาตาฟกช้ำ แพทย์ของคุณจะทำการตรวจร่างกายพื้นฐาน พวกเขาจะซักถามว่ามีการบาดเจ็บเกิดขึ้นหรือไม่ อย่างไร และสอบถามเกี่ยวกับการบาดเจ็บที่เกี่ยวข้อง แพทย์จะทดสอบการมองเห็นของคุณโดยส่องแสงเข้าตา และให้คุณทำตามนิ้วของพวกเขาจากการมองเห็นของคุณ

หากสงสัยว่ามีการแตกหักของกะโหลกศีรษะ คุณจะจำเป็นต้องทำการถ่ายภาพรังสีเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) และภาพเอกซเรย์บริเวณใบหน้าและศีรษะ หากสงสัยว่ามีการบาดเจ็บที่ตาคุณจะถูกส่งต่อไปยังจักษุแพทย์ ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอาจตรวจโดยใช้สีย้อมตาของคุณเพื่อทดสอบการถลอกของลูกตา (Eyeball abrasion)

หากสงสัยว่ามีอาการบาดเจ็บที่ศีรษะคุณจะถูกส่งไปยังศัลยแพทย์ระบบประสาท (Neurosurgeon) หากสงสัยว่ามีการแตกหักของบริเวณใบหน้าคุณจะถูกส่งต่อไปยังแพทย์ด้านหูคอจมูก (ENT)

การวินิจฉัยที่เกี่ยวข้องกับอาการตาฟกช้ำดำเขียว

ภาวะที่มักเกี่ยวข้องกับอาการดังกล่าว ได้แก่

  • จมูกหักหรือแตก

  • การกระแทก

  • โรคไข้เลือดออก

  • โรคฮีโมฟีเลีย A (Hemophilia A)

  • โรคฮีโมฟีเลีย B (Hemophilia B)

  • ภาวะเลือดออกบริเวณเยื่อหุ้มสมองชั้นนอก (Epidural Hematoma)

  • ภาวะฉุกเฉินของดวงตา

  • การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ

  • โรคขาดสารแข็งตัวของเลือด Factor II

  • โรคขาดสารแข็งตัวของเลือด Factor V

  • โรคขาดสารแข็งตัวของเลือด Factor VII

  • โรคขาดสารแข็งตัวของเลือด Factor X

  • กลุ่มอาการทารกถูกเขย่า (Shaken Baby Syndrome)

  • กะโหลกศีรษะแตกหัก

  • ภาวะเลือดคั่งบริเวณใต้เยื่อหุ้มสมอง (Subdural Hematoma)

  • โรคความผิดปกติในการแข็งตัวของเกล็ดเลือด (Von Willebrand Disease)

การรักษาอาการตาฟกช้ำดำเขียว

อาการตาฟกช้ำที่เกิดจากการได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย สามารถรักษาได้ด้วยการ

ประคบเย็นหรือประคบน้ำแข็ง : เป็นเวลา 20 นาที สลับกับหยุดพักเป็นเวลา 20 นาที เมื่ออาการบวมลดลงอาจใช้การประคบอุ่นเพื่อช่วยส่งเสริมการดูดซึมเลือด และทำให้อาการตาฟกช้ำและรอยดำหายเร็วขึ้น

พักผ่อนให้เพียงพอ

รับประทานยาแก้ปวด เช่น ยาไอบูโพรเฟนหรือยาพาราเซตามอล

หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือกดในบริเวณที่ได้รับผลกระทบ

การรับประทานวิตามินซีและวิตามินเค จะช่วยรักษาและลดอาการบวมได้เร็วขึ้นได้เช่นกัน

การรักษาอาการตาฟกช้ำดำเขียวในเด็กและทารก

หากพบอาการตาฟกช้ำดำเขียวในเด็กเล็กและทารก ควรได้รับการรักษาด้วยการประคบเย็นที่ตาเป็นเวลา 15 นาทีต่อครั้งตลอดทั้งวัน หากพบอาการบวมจนทำให้ตาปิด หรือมองเห็นได้ไม่สะดวก ก็ควรสวมผ้าปิดตาเอาไว้ และพยายามอย่าให้เด็กยกมือขยี้ตา

ที่มาของข้อมูล

J. C. Jones and Justin Sarachik, What Causes Black Eye? (https://www.healthline.com/symptom/black-eye), November 1, 2016.


8 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
The Best Treatment Tips for a Black Eye. Verywell Health. (https://www.verywellhealth.com/what-is-a-black-eye-3120409)
How Long Does a Black Eye Last? How to Get Rid of Black Eye. MedicineNet. (https://www.medicinenet.com/black_eye/article.htm)
Black eye: Causes, effects, treatment, and prevention. Medical News Today. (https://www.medicalnewstoday.com/articles/249231)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)