สวัสดีค่ะหมอคือหนุมีพสพ.กับแฟนเมื่อวันที่15ค่ะใส่ถุงยางนะคะแต่กไม่มั่นใจว่าพลาดรึป่าวแฟนก็บอกว่าตอนที่ถอดถุงออกมาก็มีน้ำขาวๆคล้ายๆอสุจิอยู่ข้างในนะคะแต่หนูก้ไม่สบายใจและวันที่16ตอนกลางคืนอะค่ะหนุเข้าทำธุระในห้องน้ำใช้ชิดชู่เช็ดตามปกติแล้วมันมีเลือดสีแดงเลยอะค่ะติดชิดชู่มาหนูอ่านเจอในเนตเค้าเขียนกันว่ามันเป็นอาการคนท้องหลายๆเว็บก็เขียนว่าช่องคลอดอาจจะเป็นแผลหนุเลยไม่มั่นใจว่าท้องมั้ยเลยไปซื้อยาคุมฉุกเฉินทานวันที่17แล้วค่ะหนุอยากรู้ว่าหนุจะท้องมั้ยคะแล้งเลือดที่ออกมาคือเลือดอะไรอะคะหนุไม่พร้อมที่จะมีเลย😭ปล.ครั้งนี้คือการมีพสพ.ครั้งแรกของหนุค่ะช่วยตอบที่นะคะ

สวัสดีครับ
การมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกนั้นทำให้มีเยื่อพรหมจรรย์ฉีกขาดได้ ทำให้มีอาการเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ได้ครับ ซึ่งเลือดนี้มักจะออกมาในปริมาณเพียงเล็กน้อยและจะหยุดไปได้เองใน 1-2 วันและไม่มีอันตรายครับ แต่ถ้าหากมีเลือดออกผิดปกติในปริมาณมากและนานกว่านี้ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติม

ส่วนการมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ถุงยางอนามัยนั้นก็ถือเป็นวิธีการป้องกันการตั้งครรภ์ที่มีประสิทธิภาพมากวิธีหนึ่งครับ และถ้าหากไม่มีการแตกรั่วเลย โอกาสผิดพลาดตั้งครรภ์ก็จะมีเพียง 2% เท่านั้น

จากเหตุการณ์ข้างต้นนั้นหมอคิดว่ายังมีโอกาสผิดพลาดตั้งครรภ์ได้ค่อนข้างน้อย จึงยังไม่ควรต้องกังวลครับ และอาการเลือดออกผิดปกติดังกล่าวก็ยังไม่ได้เป็นการบ่งบอกถึงการตั้งครรภ์ครับ

ในตอนนี้หมอแนะนำให้รอสังเกตประจำเดือนของเดือนนี้ไปก่อนครับ ถ้าหากประจำเดือนมีการขาดหายไปก็ให้ลองตรวจการตั้งครรภ์ดู โดยให้ตรวจห่างจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 14 วันและใช้ปัสสาวะหลังตื่นนอนตอนเช้าในการตรวจ ก็จะให้ผลตรวจที่เชื่อถือได้ 97-99% ครับ

การรับประทานยาคุมฉุกเฉินนั้นจะผลข้างเคียงทำให้มีเลือดออกกระปริดกระปรอยระหว่างรอบเดือนได้ครับ ส่วนประจำเดือนนั้นมักจะมาในเวลาที่ใกล้เคียงกับกำหนดการประจำเดือนเดิมครับ

ดังนั้นถ้าหากเลือดที่ออกมาออกมาในช่วงเวลาที่ไม่ควรจะเป็นประจำเดือนก็อาจจะยังไม่ใช่ประจำเดือนจริงๆครับ

ถ้าหากเพิ่งมีเพศสัมพันธ์มา 3 วัน จะยังไม่มีอาการของการตั้งครรภ์เกิดขึ้นในตอนนี้ครับ

อาการแรกที่จะสังเกตเห็นได้ถ้าหากมีการตั้งครรภ์คือการขาดประจำเดือนครับ ดังนั้นในตอนนี้หมอแนะนำให้รอสังเกตประจำเดือนดูก่อน ถ้าหากเดือนนี้ประจำเดือนไม่มาตามกำหนดก็ให้ลองตรวจการตั้งครรภ์ดู โดยให้ตรวจห่างจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 14 วันและใช้ปัสสาวะหลังตื่นนอนตอนเช้าในการตรวจ ก็จะให้ผลตรวจที่เชื่อถือได้ 97-99% ครับ

ส่วนอาการที่เกี่ยวกับการตั่งครรภ์อื่นๆ เช่น คัดตึงเต้านม ตกขาวมากขึ้น คลื่นไส้อาเจียน แพ้ท้อง มักเกิดขึ้นหลังจากตั้งครรภ์ไปแล้ว 2-3 เดือนครับ

ในตอนนี้หมอแนะนำให้ใจเย็นๆและรอสังเกตประจำเดือนต่อไปก่อนครับ เนื่องจากคุณได้ใช้ถุงยางอนามัยในการป้องกันการตั้งครรภ์ไปแล้ว ซึ่งถือเป็นวิธีการป้องกันการตั้งครรภ์ที่ดีมากๆวิธีหนึ่ง

ยังไม่ต้องกังวลเรื่องการตั้งครรภ์ตอนนี้ครับ

ผลข้างเคียงของยาคุมฉุกเฉินที่ทำให้มีเลือดออกกระปริดกระปรอยได้ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นกับคนที่รับประทานยาทุกคนครับ และการที่ไม่มีเลือดออกในลักษณะดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นการบ่งบอกว่าจะมีการตั้งครรภ์

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรสังเกตหลังจากนี้คือประจำเดือนครับ ถ้าหากหลังจากนี้มีประจำเดือนมาตามปกติก็ไม่ควรมีการตั้งครรภ์ แต่ถ้าประจำเดือนขาดหายไปนานก็ควรลองตรวจการตั้งครรภ์ดูตามวิธีที่หมอแนะนำไปก่อนหน้านี้ครับ

อาการคันในช่องคลอดนั้นไม่ใช่อาการของการตั้งครรภ์ครับ แต่อาการคันในช่องคลอดนั้นอาจเกิดได้จากสาเหตุอื่นๆ เช่น การมีช่องคลอดแห้ง การติดเชื้อบางอย่าง เช่น เชื้อรา เชื้อแบคทีเรียภายในช่องคลอดครับ

ในเบื้องต้นหมอแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินอาการก่อนครับเพื่อที่จะได้ให้การรักษาได้อย่างเหมาะสม

ยาสอดนั้นไม่มีผลต่อการคุมกำเนิดครับ แต่ยาสอดจะสามารถรักษาอาการคันในช่องคลอดจากเชื้อราได้เท่านั้น ถ้าอาการคันเกิดจากสาเหตุอื่นก็จะไม่สามารถใช้ยาสอดรักษาได้

ทางที่ดีที่สุดจึงควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้ทราบสาเหตุก่อนทำการรักษาครับ

การนับวัตกไข่จะสามารถทำได้เมื่อเป็นคนที่มีประจำเดือนสม่ำเสมอครับ โดยจะสามารถประมาณวันตกไข่ได้จากวันที่อยู่กึ่งกลางของรอบประจำเดือน เช่น
- ถ้ารอบเดือนมาทุก 28 วัน การตกไข่ก็จะเกิดขึ้นประมาณ 14 วันหลังการมีประจำเดือนวันแรก
- ถ้ารอบเดือนมาทุก 32 วัน การตกไข่ก็จะเกิดขึ้นประมาณ 16 วันหลังการมีประจำเดือนวันแรก
โดยวันที่ประมาณนี้อาจมีการบวกลบได้เล็กน้อยครับ

ส่วนอสุจิที่เข้าไปในช่องคลอดแล้วจะสามารถอยู่รอดต่อเพื่อรอผสมกับไข่ได้นาน 2-3 วัน

แต่ในทางปฏิบัตินั้นจะไม่แนะนำให้ใช้วิธีนับวันปลอดภัยในการมีเพศสัมพันธ์ครับ เนื่องจากในบางรอบเดือนอาจมีการตกไข่ที่ผิดปกติเกิดขึ้นได้ ถ้าต้องมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยก็ควรมีการคุมกำเนิดด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งทุกครั้งครับ

การรับประทานยาแก้แพ้ไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินครับ สามารถรับประทานยาแก้แพ้ได้ตามปกติครับ

สามารถใช้ยาสอดฆ่าเชื้อราร่วมกับยาคุมฉุกเฉินได้รรับ

ส่วนคำเตือนที่ว่าอาจมีผลต่อประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์การคุมกำเนิดที่มียางเป็นส่วนประกอบ หมายถึง ถุงยางอนามัยครับ

โดยปกติแล้วถ้าหากเป็นคนที่มีประจำเดือนมาสม่ำเสมอหลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินประจำเดือนมักคลาดเคลื่อนไม่เกิน 4-5 วันครับ แต่ถ้าเดิมเป็นคนที่มีประจำเดือนมาไม่ปกติอยู่แล้ว ก็จะคาดการณ์ได้ยากว่าหลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินประจำเดือนจะมาในวันใดครับ

ส่วนผลข้างเคียงที่ทำให้มีเลือดออกทางช่องคลอดของยาคุมฉุกเฉินนั้นมักเเกิดหลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินประมาณ 7 วัน โดยเป็นลักษณะเลือดออกกระปริดกระปรอยออกมาติดต่อกันโดยเฉลี่ย 3 วัน แต่มักไม่เกิน 7 วันครับ

ถ้าหากเลือดเพิ่งออกมาวันแรกก็อาจบอกได้ยากว่าเป็นจากสาเหตุใดครับ อาจจะต้องใช้เวลาสังเกตต่อไปก่อน 2-3 วันจึงจะพอบอกสาเหตุได้ชัดเจนมากขึ้น

แต่ในกรณีที่เลือดออกมาในปริมาณมาก ต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ หรือทำให้มีอาการจากการเสียเลือด เช่น อ่อนเพลีย หน้ามืด เวียนศีรษะ ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อประเมินอาการเพิ่มเติมครับ

หมอแนะนำให้แจ้งอาการกับแพทย์ตามตรงครับว่าเคยมีเพศสัมพันธ์และได้รับประทานยาคุมฉุกเฉินมาก่อน เพื่อให้แพทย์สามารถประเมินอาการได้อย่างถูกต้องครับ

หลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินประจำเดือนมักคลาดเคลื่อนไม่เกิน 4-5 วันครับ ยกเว้นแต่ว่าเดิมเป็นคนที่มีประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมออยู่แล้วประจำเดือนก็อาจคลาดเคลื่อนไปนานกว่านั้นได้

ในกรณีที่ประจำเดือนคลาดเคลื่อนไปถึง 2 สัปดาห์ หมอแนะนำว่าควรลองตรวจการตั้งครรภ์ดูเพื่อความแน่ใจด้วยครับ โดยให้ตรวจห่างจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 14 วันและใช้ปัสสาวะหลังตื่นนอนตอนเช้าในการตรวจ ก็จะให้ผลตรวจที่เชื่อถือได้ 97-99% ครับ

สวัสดีครับ
การช่วยตัวเองไม่มีผลต่อประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินครับ สามารถช่วยตัวเองได้ตามปกติครับ

ถ้าหากแต่เดิมเป็นคนที่ประจำเดือนมาสม่ำเสมอตลอด หลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินประจำเดือนมักคลาดเคลื่อนไม่เกิน 4-5 วันครับ แต่ถ้าเดิมเป็นคนที่ประจำเดือนไม่สม่ำเสมอก็จะบอกได้ยากว่าประจำเดือนควรจะมาอีกครั้งเมื่อไหร่

ในตอนนี้หมอแนะนำให้รอสังเกตประจำเดือนต่อไปก่อนครับ ถ้าหากเลยกำหนดที่ประจำเดือนควรจะมาไปประมาณ 1 สัปดาห์แล้วประจำเดือนยังไม่มาก็ให้ลองตรวจการตั้งครรภ์ดู โดยให้ตรวจห่างจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 14 วันและใช้ปัสสาวะหลังตื่นนอนตอนเช้าในการตรวจ ก็จะให้ผลตรวจที่เชื่อถือได้ 97-99% ครับ

หมอขอให้ข้อมูลที่แตกต่างจากที่เลิฟแคร์นะครับ จากผลการวิจัยเกี่ยวกับบาคุมกำเนิดฉุกเฉินในปัจจุบันพบว่าผู้ที่รับประทานยาคุมฉุกเฉินโดยส่วนใหญ่จะยังมีประจำเดือนมาใกล้เคียงกับประจำเดือนตามปกติอยู่ครับ หรือถ้ามีการคลาดเคลื่อนก็มักไม่เกิน 4-5 วัน ยกเว้นแต่ว่าเดิมเป็นคนที่มีประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมออยู่แล้ว หลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินประจำเดือนก็จะยังมาไม่สม่ำเสมอตามเดิม ซึ่งไม่ได้เป็นผลมาจากยาคุมฉุกเฉินครับ

ดังนั้นถ้าหากเดิมเป็นคนที่มีประจำเดือนสม่ำเสมอแต่หลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินประจำเดือนกลับขาดหายไปนาน 2 สัปดาห์ก็ควรต้องสงสัยว่าอาจมีการตั้งครรภ์ได้เอาไว้ก่อนครับ เนื่องจากหลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินจะยังมีโอกาสผิดพลาดตั้งครรภ์ได้ 15-25%

การตรวจการตั้งครรภ์นั้นแนะนำให้ตรวจห่างจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 14 วันและใช้ปัสสาวะหลังตื่นนอนตอนเช้าในการตรวจ ก็จะให้ผลตรวจที่เชื่อถือได้ 97-99% ครับ

ถ้าหากตรวจแล้วไม่พบการตั้งครรภ์ก็อาจรอประจำเดือนต่อไปได้ก่อนเนื่องจากประจำเดือนอาจมาช้าจากสาเหตุอื่นๆ เช่น
- มีการตกไข่ที่ผิดปกติ
- ระดับฮอร์โมนในเลือดที่ผิดปกติ
- การออกกำลังกายอย่างหักโหม
- น้ำหนักตัวที่มากหรือน้อยเกินไป
- ความเครียด
แต่ถ้าหากประจำเดือนขาดหายไปนานกว่า 3 เดือนก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุครับ

ถ้าหากมีการใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยก็ยิ่งไม่ควรต้องกังวลครับ เพราะโดยปกติแล้วถ้าใช้ถุงยางอนามัยได้อย่างถูกต้องโดยไม่มีการแตกรั่วโอกาสที่จะผิดพลาดตั้งครรภ์ก็จะมีเพียง 2% เท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วในกรณีนี้ไม่มีความจำเป็นต้องรับประทานยาคุมฉุกเฉินด้วยซ้ำครับ

และอาการตกขาวที่เกิดขึ้นนั้นก็อาจเกิดขึ้นโดยเป็นอาการนำก่อนที่ประจำเดือนจะมาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเกิดจากหารตั้งครรภ์เสมอไป ในที่นี้จึงยังไม่มีอะไรที่จะยืนยันได้ว่าจะมีการตั้งครรภ์หรือไม่จนกว่าจะตรวจการตั้งครรภ์ยืนยันดูหรือมีประจำเดือนมาครับ

หมอแนะนำให้ลองตรวจการตั้งครรภ์ตามวิธีที่หมอแนะนำก่อน ถ้าหากตรวจแล้วไม่มีการตั้งครรภ์ก็จะได้ไม่ต้องกังวลครับ

ก่อนอื่นแนะนำให้ตรวจการตั้งครรภ์ดูก่อนครับ ยังไม่ต้องกังวลไปก่อนในตอนนี้ เพราะจากเหตุการณ์ที่เล่ามามีโอกาสผิดพลาดตั้งครรภ์ได้น้อยครับ

ถ้าหากการตรวจการตั้งครรภ์ครั้งที่ 2 นั้นตรวจห่างจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 14 วันแล้ว ผลตรวจก็จะมีความถูกต้องถึง 97-99% ทำให้โอกาสที่ผลตรวจจะผิดพลาดมีน้อยมากครับ

ถ้าหากไม่มีการตั้งครรภ์ประจำเดือนก็อาจขาดหายไปได้จากสาเหตุอื่นๆ เช่น
- มีการตกไข่ที่ผิดปกติ
- ระดับฮอร์โมนในเลือดที่ผิดปกติ
- ความผิดปกติของรังไข่หรือมดลูก
- ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ
- ผลข้างเคียงของยาบางชนิด
- การออกกำลังกายอย่างหักโหม
- ความเครียด
- น้ำหนักตัวที่มากหรือน้อยเกินไป
ซึ่งในเบื้องต้นก็อาจรอประจำเดือนต่อไปก่อนได้อีกระยะหนึ่งครับ แต่ถ้าประจำเดือนขาดหายไปนานกว่า 3 เดือนก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุครับ