May 14, 2018 05:13
ตอบโดย
ณัฐพร ชัยนคร (พยาบาลวิชาชีพ)
การมีมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันมีโอกาสตั้งครรภ์ทั้งหมดค่ะไม่ว่าจะเป็นกาหลั่งนอกหรือหลั่งในก็ตาม แต่โกาสการตั้งครรภ์ของการหลั่งข้างนอกอาจน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการหลั่งใน
การกินยาคุมฉุกเฉินเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด จะต้องกินทันทีหลังจากมีเพศสัมพันธ์ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ในการป้องกันการตั้งครรภ์ประมาณ 85% แต่หากไม่ทันจริงๆ ก็สามารถกินภายใน 72 ชั่วโมงได้ แต่จะมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดน้อยลงมากว่าเดิม คือประมาณ 75% นั่นเอง ดังนั้นเมื่อมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ควรรีบกินยาคุมฉุกเฉินทันที
วิธีกินยาคุมฉุกเฉินอย่างถูกต้อง
สำหรับวิธีกินยาคุมฉุกเฉิน จะเห็นได้ว่าใน 1 แผง มียาคุม 2 เม็ด ซึ่งหลังจากกินเม็ดแรกไปแล้ว ให้นับต่อไปอีกประมาณ 12 ชั่วโมง และกินเม็ดที่สองทันทีเมื่อครบ 12 ชั่วโมงนั่นเอง
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
การกินยาคุมฉุกเฉินอาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ ซึ่งจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับสุขภาพร่างกายของบุคคลนั้นๆ ด้วย โดยผลข้างเคียงจากการกินยาคุมฉุกเฉินที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ มีดังนี้
1.ประจำเดือนมาไม่ปกติ
เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินจะเข้าไปยับยั้งการตกไข่และเลื่อนการตกไข่ออกไป ทำให้ประจำเดือนอาจมาไม่ปกติได้ เช่น มาช้ากว่าเดิม มาแบบกะปริบกะปรอย แต่ก็ไม่ต้องตกใจ เพราะอาการเหล่านี้จะไม่เป็นอันตรายใดๆ และกลับมาปกติในเดือนต่อไปนั่นเอง
2.คลื่นไส้ อาเจียน
เพราะยาคุมฉุกเฉินส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนในร่างกายโดยตรง ทำให้ภาวะที่ฮอร์โมนเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนั้น อาจทำให้เกิดอาการคลื่นอาเจียนได้ และรู้สึกพะอืดพะอมตลอดเวลา ซึ่งหากอาเจียนมากจนร่างกายเกิดความอ่อนเพลีย ควรดื่มน้ำเกลือแร่บ่อยๆ หรืออาจไปพบแพทย์ทันที
3.ปวดศีรษะ
ในบางคนที่ร่างกายมีการต่อต้านยาคุมหรือปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนไม่ทัน อาจมีอาการปวดศีรษะได้ ซึ่งควรกินยาแก้ปวด และพักผ่อนให้มากๆ เพื่อบรรเทาอาการปวดให้ทุเลาลง
4.ปวดท้อง
เมื่อกินยาคุมฉุกเฉินอาจมีอาการปวดท้อง คล้ายกับตอนมีประจำเดือนได้ ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยการกินยาแก้ปวดพาราเซตามอล หรือยาแก้ปวดประจำเดือน
5.เสี่ยงตั้งครรภ์นอกมดลูก
กรณีการตั้งครรภ์นอกมดลูกจะเสี่ยงมากในคนที่กินยาคุมฉุกเฉินบ่อยๆ หรือกินยาคุมฉุกเฉินแบบต่อเนื่องแทนยาคุมทั่วไป ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงจากการตั้งครรภ์นอกมดลูก ควรกินยาคุมฉุกเฉินเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น หากต้องการคุมกำเนิดในระยะยาว แนะนำให้ใช้วิธีการฉีดยาคุมหรือกินยาคุมแบบทั่วไปจะดีกว่า
6.เสี่ยงเป็นมะเร็ง
มีรายงานทางการแพทย์กล่าวว่า ในชีวิตของผู้หญิง ไม่ควรกินยาคุมฉุกเฉินเกินจาก 2 ครั้ง เพราะยาคุมชนิดนี้จะไปกระตุ้นเซลล์มะเร็งให้เจริญเติบโตและส่งผลให้เกิดมะเร็งในที่สุด โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งรังไข่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังทำให้มดลูกอ่อนแอและบางลง ซึ่งส่งผลต่อการมีบุตรในอนาคตได้เช่นกัน
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ตอบโดย
จินตนา แสงโพธิ์ (เภสัชกร)
ขออนุญาตให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อตอบคำถามของผู้ถาม และแก้ไขข้อมูลจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของคุณพยาบาลณฐพรนะคะ เพื่อมิให้ทั้งผู้ถามและผู้อ่านท่านอื่น ๆ ที่สนใจ มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปด้วย
1. ความเข้าใจว่า "ในชีวิตของเราไม่ควรรับประทานยาคุมเกิน 2 ครั้ง" เป็นการส่งต่อข้อมูลที่คลาดเคลื่อนค่ะ ไม่มีการศึกษาทางวิชาการที่น่าเชื่อถือใด ๆ กล่าวเช่นนั้น
ในอดีต มีความกังวลว่าการใช้ยาคุมฉุกเฉินอาจเพิ่มความเสี่ยงของการตั้งครรภ์นอกมดลูก ดังนั้น จึงมีคำเตือนว่าไม่ควรใช้มากกว่าเดือนละ 2 กล่อง (ย้ำว่าไม่เกินเดือนละ 2 กล่องค่ะ ไม่ใช่ห้ามใช้เกิน 2 ครั้งในชั่วชีวิตเรา)
แต่ต่อมา เมื่อมีการศึกษาวิจัยเพิ่มขึ้น ก็มีข้อสรุปที่ชัดเจนออกมาแล้วว่า การใช้ยาคุมฉุกเฉิน ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงของการตั้งครรภ์นอกมดลูก หรือมะเร็งต่าง ๆ รวมถึงไม่ได้ทำให้มีบุตรยากอนาคตด้วยค่ะ
อย่างไรก็ตาม ยังมีการส่งต่อข้อมูลที่คลาดเคลื่อนอยู่เช่นเดิม ทั้งจากประชาชนทั่วไป และจากบุคลากรทางการแพทย์บางส่วนที่อาจไม่ได้ติดตามข้อมูลใหม่ ๆ หรือด้วยเจตนาแอบแฝงที่หวังดี เช่น ต้องการขู่ให้กลัวเพื่อไม่ให้มีการใช้พร่ำเพรื่อเกินจำเป็น เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่สูงเท่ากับวิธีคุมกำเนิดปกติ การใช้บ่อย ๆ จึงเพิ่มความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ไม่พร้อมได้มากกว่าที่ควรจะเป็น
แต่การให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนนั้นกลับสร้างผลเสีย นั่นคือ ทำให้เกิดความหวาดกลัวไม่กล้าใช้ยาคุมฉุกเฉินไปเลย แม้เมื่อมีเหตุฉุกเฉินที่ควรใช้ก็ตาม ดังนั้น ในปี ค.ศ.2010 องค์การอนามัยโลก จึงออกคำชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันเกี่ยวกับการใช้ยาคุมฉุกเฉินออกมา สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://apps.who.int/iris/bitstream/handle/10665/70210/WHO_RHR_HRP_10.06_eng.pdf?sequence=1&isAllowed=y
ดังนั้น หากจำเป็นต้องใช้ยาคุมฉุกเฉิน ก็สามารถใช้ได้ค่ะ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผลเสียต่าง ๆ ที่เล่าลือกันมาผิด ๆ แต่ต้องตระหนักว่า ยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพที่ไม่แน่นอนและไม่สูงเท่ากับวิธีคุมกำเนิดปกติ ดังนั้น การนำมาใช้บ่อย ๆ หรือใช้แทนการใส่ถุงยาง, การใช้ยาคุมรายเดือน, การฉีดยาคุมกำเนิด, การใช้แผ่นแปะคุมกำเนิด, การฝังยาคุมกำเนิด หรือการใส่ห่วงอนามัย จะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้สูงกว่าหลายเท่าค่ะ
2. และสำหรับการตอบคำถามที่ผู้ถามสงสัย ไม่แน่ใจว่าที่บอกว่า "ลืมกินยามา 6 วันแล้ว" หมายถึงยาคุมรายเดือนหรือยาคุมฉุกเฉิน จึงให้พิจารณาแนวทางแก้ไขดังนี้นะคะ
- หากปกติมีการรับประทานยาคุมรายเดือนอยู่แล้ว แต่ลืมรับประทานมา 6 วัน ผลในการคุมกำเนิดหมดลงแล้วค่ะ ดังนั้น เมื่อมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน หรือป้องกันด้วยวิธีหลั่งนอกซึ่งถือว่ามีโอกาสผิดพลาดและตั้งครรภ์ได้สูง แนะนำให้รับประทานยาคุมฉุกเฉินโดยเร็วที่สุดที่ทำได้ อย่างช้าไม่เกิน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ โดยแนะนำให้รับประทานแบบใหม่ คือ รับประทานครบขนาดในครั้งเดียว (หมดแผงครั้งเดียว) เพราะการศึกษาใหม่ ๆ ชี้ว่ามีประสิทธิภาพดีกว่าการแยกรับประทานเป็น 2 ครั้ง (ส่วนการศึกษาที่เก่ากว่าจะบอกว่ามีประสิทธิภาพไม่ต่างกัน)
- หากไม่ได้ใช้ยาคุมรายเดือน และวันที่ถามนี้ห่างจากวันที่มีเพศสัมพันธ์มา 6 วันแล้ว ทำอะไรไม่ได้แล้วค่ะ จะใช้ยาคุมฉุกเฉินก็ไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้น คงต้องรอดูว่าจะมีประจำเดือนมาตามรอบปกติหรือไม่นะคะ หากประจำเดือนมาช้า ก็ให้ซื้อชุดทดสอบการตั้งครรภ์มาตรวจในตอนเช้าหลังตื่นนอน ห่างจากวันที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดอย่างน้อย 14 วันค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
มีไรกับเเฟนเเล้วแตกนอก ลืมกินยามา6วันเเล้วต้องทำไงคะหมอ กินยาคุมฉุกเฉินทันไหมหรือต้องทำไง
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)