August 04, 2018 21:24
ตอบโดย
พิศุทธิกาญจญ์ รังคกูลนุวัฒน์ (พญ.)
สำหรับคนไข้ อาการที่นึกถึงได้ 3 อย่าง ในขณะนี้ คือ
1. โรคไมเกรน (migrain)ค่ะ คือ โรคชนิดหนึ่งซึ่งยังหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้ แต่น่าเชื่อได้ว่าอาจมีจุดกำเนิดจากก้านสมองที่ทำงานผิดปกติ หรือเกิดจากภาวะที่สารเคมีในสมองไม่สมดุล ส่งผลให้หลอดเลือดมีความไวต่อการกระตุ้นมากเป็นพิเศษกล่าวคือ มีการหด และขยายตัวของหลอดเลือดอย่างผิดปกติ ทำให้เกิดอาการปวดศรีษะได้
โดยลักษณะอาการปวดศรีษะจะมีลักษณะ ปวดบริเวณขมับโดยอาจจะปวดข้างเดียว หรือทั้งสองข้างก็ได้ บางกรณีอาจมีการปวดวนกันไป และมักจะปวดข้างเดิมอยู่ซ้ำ ๆ
ส่วนอีกบริเวณหนึ่งที่พบมาก ได้แก่ บริเวณเบ้าตา ลักษณะของการปวด ก็มักจะปวดตุ้บๆ ตามจังหวะของชีพจร ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
การรักษาโดยการกินยาลดอาการปวด การกินยาป้องกันไม่ให้หลอดเลือดหดและขยายตัวซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดเกิดขึ้น
หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรคกำเริบซึ่งจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล เช่นความเครียด บางคนเจออาการร้อนหรือที่ๆแสงสว่างมากๆก็กระตุ้นได้ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มชูกำลัง หรือเครื่องดืมที่มีคาเฟอีนค่ะ
—อย่างที่สองที่นึกถึงได้ คือ การปวดปลายประสาทไตรเจมินอลค่ะ (trigeminal neuralgia ) เป็นการปวดหัว ปวดใบหน้า หรือบางคนอาจปวดจี้ดๆ ไปบริเวณกราม เหงือก ฟันได้ มักเป็นจี้ดๆ แป๊บๆ และมักมีอาการเป็นข้างเดียวค่ะ สิ่งกระตุ้น ได้แก่ การยิ้มเยอะๆ แปรงฟัน พูด แต่งหน้า เป็นต้น บาวคน แต่เดินผ่านลมเย็น ก็อาจจะรู้สึกปวดขึ้นมาได้ค่ะ
การรักษา ได้แก่ การใช้ยา เช่น แพทย์อาจใช้ยากันชักบางชนิด การฉีด botox หรือการผ่าตัดปลายประสาทค่ะ
3.Tension headache เป็นการปวดศรีษะชนิดหนึ่ง ที่พบได้บ่อยที่สุด วินิจฉัยโดยอาศัยลักษณะ อาการปวดโดยมักจะปวดตื้อๆ บีบๆเริ่มจากบริเวณท้ายทอยร้าวไปขมับ สองข้าง
บางครั้งอาจจะกดเจ็บบริเวณหนังศรีษะร่วมด้วย มักมีสาเหตุเกิดจากความเครียด การทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอค่ะ
อย่างไรก็ตาม อาการของการปวดหัว เป้นโรคที่มีความละเอียดอ่อนมาก ต้องซักประวัติ และตรวจร่างกาย โดยเฉพทะทางระบบประสาทอย่างละเอียดค่ะ จึงแนะนำให้คนไข้ไปพบแพทย์ หากมีอาการบ่อยๆค่ะ
นอกจากนี้ หากมีอาการเหล่านี้ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษค่ะ
1.ปวดมาก ปวดตลอดเวลาไม่มีช่วงที่หายสนิทเลย
2.ปวดจนสะดุ้งตื่น ขึ้นมากลางดึก หลังจากที่หลับไปแล้ว
3.มีอาการทางระบบประสาทร่วมด้วย เช่นชักเกร็งกระตุก คลื่นไส้ มีอาเจียนพุ่ง หนังตาตก แขนขาอ่อนแรงหรือชาเป็นต้น
4.มีไข้
5.มีอุบัติเหตุกระทบกระแทกศรีษะ
5.มีโรคประจำตัวบางอย่างเช่น มะเร็งชนิดต่างๆ โรคเลือด โรคติดเชื้อ HIV เป็นต้น
ถ้ามีอาการเหล่านี้ ให้รีบไป รพ ค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ตอบโดย
สารินทร์ สีหมากสุก (นพ.)
สำหรับอาการปวดศีรษะนั้น เกิดได้จากหลายสาเหตุครับ ทางการแพทย์อาจจะแบ่งคร่าวๆ ได้ดังนี้ครับ
กลุ่มแรกคือ กลุ่มโรคที่ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติทางกายวิภาค เช่น ในสมองหรือนอกสมองไม่มีความผิดปกติ แต่ตัวโรคนั้นทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ อาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า primary headache และส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะมักมาจากในกลุ่มนี้มากกว่า เช่นโรค ไมเกรน, Tension headache, Cluster headache เป็นต้น ซึ่งมักจะไม่เป็นอันตรายแต่อาจจะรบกวนชีวิตประจำวันได้ แพทย์จะพิจารณายาบรรเทาอาการปวดศีรษะตามสาเหตุและความรุนแรงให้ครับ
ส่วนอีกกลุ่มคือกลุ่มทีมีสาเหตุชัดเจนทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้แก่
1.สาเหตุที่เกิดขึ้นมาจากในกระโหลกศีรษะ
2.สาเหตุที่เกิดขึ้นมาจากนอกกระโหลกศีรษะหรือรอบๆ เช่น ไซนัส หลอดเลือด กล้ามเนื้อ เส้นประสาท รวมไปถึงความเจ็บป่วยทาง systemic เป็นต้น อาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า secondary headache
แต่ที่อันตรายจะเป็นกลุ่มสองหรือกลุ่มที่มีรอยโรคที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ ยกตัวอย่างเช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ, เส้นเลือดในสมองมีความผิดปกติทั้งแตก/ตีบ/ตัน, มะเร็งสมอง เป็นต้น แต่อาจสังเกตอาการของตัวเองได้ อาการที่สำคัญในกลุ่มนี้หรือสัญญาณเตือนอันตราย (Ref flag sign) ได้แก่ ปวดหัวแบบรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน , ปวดจนต้องตื่นขึ้นมา, ปวดแบบทันทีทันใด, ปวดแบบค่อยเป็นค่อยไป ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ, อาการปวดศีรษะนั้นไม่ตอบสนองต่อยารักษา, ปวดศีรษะร่วมกับมีอาการทางระบบประสาท เช่น แขนขาอ่อนแรง/ชา, ปวดศีรษะ คอแข็ง, ปวดศีรษะชนิดความดันในกระโหลกสูงขึ้น เช่น มีคาพร่ามัว, ประสาทจอตาบวม, อาเจียนพุ่ง, เป็นมากช่วงเช้า เป็นต้น ซึ่งถ้าหากมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและวินิจฉัยอย่างเร่งด่วนครับ
ดังนั้นจะเห็นว่าอาการปวดศีรษะที่กล่าวมานั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุมากๆครับ ยาคาเฟอก็อตนั้น หลักๆอาจมีไว้ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องไมเกรนที่เป็นบ่อยและรบกวนชีวิตประจำวันครับ กรณีที่รับประทานยาแล้วอาการไม่ทุเลา เป็นไปได้ว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้นอาจไม่ใช่ไมเกรน แต่เกิดจากสาเหตุตามที่ได้กล่าวไป ดังนั้นเพื่อความถูกต้องในการวินิจฉัยและรักษา แนะนำให้กลับไปพบแพทย์นะครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ปวดหัวข้างขวาบ่อยมากเลยค่ะ บางครั้งมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วย ในหนึ่งอาทิตย์ปวดถี่มาก ปวดติดๆกันหลายวัน กินยาคาฟากอตอยู่ค่ะ บางครั้งกินก็หาย แต่บางครั้งก็ไม่หาย ตอนนี้รู้สึกไม่โอเคเลยค่ะที่ปวดหัวบ่อย มันจะเป็นอันตรายอะไรไหมคะ ไม่รู้จะปรึกษาใครแล้วจริงๆ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)