July 29, 2018 13:47
ตอบโดย
พิศุทธิกาญจญ์ รังคกูลนุวัฒน์ (พญ.)
สวัสดีค่ะ กลิ่นตัว เกิดได้จากหลายปัจจัยค่ะ ได้แก่ ต่อมเหงื่อของร่างกาย โดยเฉพาะชนิดที่เป็น APocrine ซึ่งจะหลั่งของเหลวสีขาวออกมา เมื่อสัมพัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น แบคทีเรีย หรือ เมือคนไข้มีความเครียด ก็ทำให้เกิดกลิ่นได้ค่ะ นอกจากนี้ ฮอร์โมนเพศชาย ก็อาจทำให้ทีการหลั่งสารเหล่านี้ออกมามากขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น สุขอนามัยส่วนตัว อาหารที่รับประทาน เป็นต้น
วิธีเบื้องต้นที่จะกลิ่นตัวได้ ได้แก่
1.การอาบน้ำวันละสองครั้ง เพื่อลดการสัมผัสของสารจากต่อมเหงื่อ ไปหมุกหมมกับแบคทีเรีย
2.ดูแลความสะอาดของเสื้อผ้า ให้แห้งสนิท ไม่อับชื้น นอกจากนี้ ยังควรดูแลความสะอาดของสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัยทั้งหมด เช่น บ้าน ห้องนอน ที่ทำงาน ให้ปลอดโปร่ง ไม่อับชื้น ไม่เป็นที่สะสมของเชื้อราและแบคทีเรีย
3.การใช้ดีโอเดอแรนท์ หรือสเปรย์ระงับกลิ่นกายที่ใต้วงแขน
4.การปรับอาหาร ไม่ทานอาหารกลิ่นฉุน เช่น เครืองเทศต่างๆ งดอาหารหมักดอง ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ รับประทานอาหารที่ ีประโยชนิ ดื่มน้ำมากๆ
5.ไม่สูบบุหรี่
6.การใชั hydrogenperoxide ผสมน้ำ เช็ดใต้วงแขน
หากกลิ่นตัว เป็นปัญหาหลังจากปรับชีวิตประจำวันไปแล้ว อาจต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจร่างกายหาปัญหาอื่นๆ เช้น ความผิดปกติของเมตาบอลิซึมของโปรตีนบางชนิดที่ทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ตอบโดย
นิชดา พงษ์ธัญญกรณ์ (แพทย์ทั่วไป) (พญ.)
กลิ่นตัวเกิดจากต่อมเหงื่อที่ทำงานมากเกินไป สามารถปฏิบัติเพื่อลดกลิ่นตัวได้คือ ให้ดูแลความสะอาดของรักแร้เนื่องจากรักแร้เป็นอวัยวะที่มีต่อมเหงื่อเยอะ ควรล้างรักแร้ด้วยสบู่อาบน้ำที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และควรโกนหรือเล็มขนรักแร้ให้สั้นเป็นประจำเพื่อให้เหงื่อระเหยได้ง่ายขึ้น ให้อาบน้ำเช้า-เย็นเป็นประจำ หลังอาบน้ำให้เช็ดตัวให้แห้งและใช้สารดับกลิ่นตัวและทากลุ่มสารส้มอลูมิเนียมที่รักแร้ และให้สวมใส่เสื้อผ้าที่สบายไม่ร้อนอับชื้น และให้หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีไขมันและอาหารที่มีกลิ่นแรง พยายามอยู่ในที่เย็นมีอากาศถ่ายเท และถ้าปฏิบัติตามนี้แล้วยังมีเหงื่อหรือกลิ่นตัวมากอยู่จำเป็นต้องไปพบแพทย์อาจต้องทำการผ่าตัดหรือฉีดโบท็อกซ์ค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ตอบโดย
ภก. ธีรศิลป์ โยมา (เภสัชกร)
กลิ่นตัว มักเกิดจากเหงื่อที่ออกมาเจอกับแบคทีเรียที่มีอยู่บริเวณผิวหนัง ส่งผลให้เกิดกลิ่นตัวขึ้นมาครับ
วิธีแก้ ต้องลดเหงื่อตัวเองก่อน
1. หลีกเลี่ยงที่ที่อากาศร้อนๆ เพราะเหงื่อจะยิ่งออกมาก
2. ทานอาหารที่ไม่มีกลิ่น เช่น กระเทียม หรืออื่นๆ และลดอาการเผ็ดร้อน เพราะจะยิ่งทำให้เหงื่อออก
3. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจทำให้เกิดเหงื่อได้ เช่น กีฬาต่างๆ หรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรชำระล้างร่างกายหลังทำกิจกรรมนั้นอย่างรวดเร็ว
4. การมีน้ำหนักตัวที่มาก
5. งดรับดื่มแฮลกอฮอล์ครับ
นอกจากนี้
1.ควรดูแลจุดที่เป็นพื้นที่อับๆให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอ เช่น รักแร้ ขาหนีบ ในตัวของรักแร้อาจทำการเล็มขนให้สั้นลง พยายามทำให้แห้ง
2.ควรอาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และเช็ดให้แห้ง เพราะถ้าเปียกชื้น เชื้อจะยิ่งชอบ อาจใช้ ไฮโดรเจนเปอออกไซต์3 % ผสมน้ำ 1 แก้ว เช็ดหลังอาบน้ำเสร็จ เพื่อฆ่าเชื้อแบทีเรีย
3. อาจใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย เช่น โรลออล หรือสเรย์ต่างๆ
4. อาจใช้ผลิตภัณฑ์ปดบังกลิ่น เช่น น้ำหอม เพื่อช่วยปิดบังกลิ่นครับ
5. ใส่เสื้อผ้าที่แห้ง สะอาด ไม่อับชื้น ไม่ใส่ซ้ำ
ถ้าแก้ตามข้างต้นแล้ว ยังมีปัญหาจนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน อาจต้องไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุอีกครั้งครับ เนื่องด้วยบางคนอาจมีโรคประจำตัว หรือทานยาต่างๆที่ทำให้เกิดกลิ่นได้
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ทำไมกลิ่นตัวผมรักษาไม่หายอาบน้ำก้ไม่หายและเหงือเยอะมากเหม็นแรงกว่ากว่าคนปกติเหมือนตัวผมเน่าเรยเพื่อนบอก
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)