November 17, 2019 01:54
ตอบโดย
กันตณัฏฐ์
อยู่ตรีรักษ์ (แพทย์ทั่วไป)
(นพ.)
General physician
สวัสดีครับ
โดยสรุปคือหมอเข้าใจว่าอาการหลักๆที่รบกวนอยู่ตอนนี้จะเป็นอาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ตาเบลอ มือสั่นและท้องเสียนะครับ
หมอคิดว่าจากอาการที่เล่ามานี้ สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องแยกออกให้ได้ว่าเป็นสาเหตุของอาการเหล่านี้หรือไม่คืออาการจากในสมองโดยตรงครับ เนื่องจากมีอาการที่ทำให้สงสัย คือ อาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ตาเบลอ รวมถึงอาการเขียนหนังสือสลับถาษาตามที่เล่ามาครับ ในกรณีนี้ควรได้รับการตรวจร่างกายทางระบบประสาทเพิ่มเติมโดยละเอียด ทำ CT หรือ MRI สมอง รวมถึงควรต้องมีการตรวจ EEG ใหม่อีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าไม่ใช่อาการของโรคลมชักครับ โดยการตรวจทั้งหมดนี้หมอก็แนะนำว่าควรไปพบแพทย์อายุรกรรมระบบประสาทเพื่อตรวจประเมินอาการโดยตรงครับ
นอกจากนี้ก็ควรปรึกษาจิตแพทย์ที่ดูแลอยู่ด้วยว่ายาที่ใช้ในการรักษานั้นมียาตัวใดที่มีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการเหล่านี้หรือไม่ เพื่อจะได้ช่วยปรับเปลี่ยนยาจามความเหมาะสมได้ครับ
สำหรับอาการท้องเสียนั้นถ้าหากได้รับการตรวจด้วยการส่องกล้องแล้วไม่พบความผิดปกติ สาเหตุก็อาจเกิดจากโรคลำไส้แปรปรวนตามที่แพทย์แจ้งได้อยู่ครับ และถ้าหากต้องการรักษาอาการนี้กับแพทย์เฉพาะทางโดยตรง หมอก็แนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์อายุรกรรมด้านทางเดินอาหารดูครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ตอนนี้ล่าสุดใช้สิทธิ์ประกันสังคมอยู่ คุณหมอให้กินยาแก้เวียนหัว แต่ยังไม่ได้ให้ตรวจอย่าวอื่นเพิ่ม คุณหมอพอจะแนะนำได้ไหมคะว่าควรทำอย่างไรเพื่อจะได้ตรวจ
สวัสดีค่ะ รบกวนปรึกษาอาการที่พบด้วยค่ะ พบแพทย์มาหลายสาขาแล้วยังไม่เจอว่าเกิดจากอะไร เมื่อ 8 ปีที่แล้ว พบว่าร่างกายเริ่มผิดปกติลง จนมาถึงปัจจุบัน แทบจะใช้ชีวิตปกติไม่ได้ เริ่มจากการล้ม คือตื่นนอนกลางดึก จะลุกขึ้นยืนแล้วล้ม พอลุกอีก ก็ล้มอีก พอนั่งพักค่อยๆลุกใหม่ก็ยืนได้ปกติ อาการเหมือนหัวเข่าไม่ล็อค จากนั้นถัดมาอีกเดือนก็มีอาการล้มขณะเดินอยู่ พอลุกขึ้นมาเดินได้อีก10 เมตรก็ล้มใหม่จนเข่าแตก เหมือนเข่าไม่ยอมล็อค แล้วก็มาสังเกตุว่าตัวเองชอบเดินสะดุดบ่อยมาก เหมือนเดินลากขา แต่ตอนนั้นไม่คิดว่าเป็นอะไรมาก หลังจากนั้นก็พบว่าตัวเองเป็น reverse culture shock แล้วหลังจากนั้นสองปีก็ตามมาด้วย bipolar disorder type II รักษามาเรื่อยๆ อีกสี่ปีก็เริ่มพบความผิดปกติเพิ่ม มีอาการใจสั่น หลงลืมช่วงสั้นๆ เลยย้ายไปรักษากับจิตแพทย์อีกที่ คุณหมอสงสัยอาการชักตอนเป็นไข้ตอนเด็กๆ ให้ไปทำ EEG แต่ผลออกมาปกติ เราก็รักษาแต่ไบโพลาร์มาเรื่อยๆ จากนั้นก็มีอาการแปลกๆ เช่น ท้องเสียเป็นเดือน มือเย็น เท้าเย็น ขี้หนาว เลือดจาง เม็ดเลือดผิดปกติ (น้องสาวเป็นพาหะธาลัสซีเมียค่ะ) มือสั่น ไปตรวจก็พบไทรอยด์เล็กน้อย หมอนัดให้ไปตรวจอีกหกเดือน พอครบกำหนดก็ไม่พบความผิดปกติ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจก็ปกติ ท้องเสียมีการส่องกล้องเข้าไปเจอก้อนเนื้อเล็ก คุณหมอตัดให้ ตรวจแล้วไม่ใช่เนื้อร้าย และสรุปว่าการท้องเสียน่าจะมาจากลำไส้แปรปรวน หลังจากนั้น อาการมือสั่น และขี้หนาวก็แย่ลงเรื่อยๆ ท้องเสียยังคงเป็นอยู่เป็นพักๆ อาการหลงลืมพบบ่อยขึ้นถ้าไม่โฟกัสมากๆก็จะลืม เช่นคุยเรื่องนึงอยู่ แล้วไปคุยเรื่องอื่น กลับมาถามใหม่ก็จะจำไม่ได้ เดินไม่ตรงทางจนคนอื่นทัก บางครั้งเดินๆอยู่แล้วรู้สึกว่าตัวเองลากขาพอสังเกตุก็ไม่เป็น ช่วงหลังดื่มน้ำหรือทานอาหาร ตอนเผลอจะมีการหกออกมาจากปาก อาทิตย์ละสองสามครั้ง ไม่ได้เป็นตลอด แต่รู้สึกว่าไม่ปกติ ตอนนี้มีอาการตาพร่า หมอบอกว่าเป็นภาวะสายตาสั้นเทียม เวียนหัวบ่อยๆ และเป็นเกือบทั้งวัน ถ้านอนมากไปหรือเดินในห้างซักพัก เกินสองชั่วโมงจะมีอาการปวดหัวมาก มีการตอบสนองได้ช้าลง มีคนถามต้องใช้เวลาตอบนานขึ้น ทำงานได้ช้าลงเพราะต้องใช้สมาธิมากขึ้น อ่านหนังสือบรรทัดเดียวหลายรอบกว่าจะเข้าใจ เขียนหนังสือสลับภาษา เช่น suโครส ตอนนี้เหนื่อยกับการรักษาเพราะไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร แต่คิดว่าน่าจะมีจุดเริ่มต้นจากอะไรซักอย่าง สงสัยว่าสมองหรือประสาทจะทำงานผิดปกติหรือเปล่า อยากจะขอคำแนะนำว่าอาการแบบนี้ควรทำอย่างไรคะ มันเกี่ยวข้องกันไหมและต้องรักษาที่ไหน ยังไง รบกวนคุณหมอแนะนำด้วยนะคะ เพราะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตมาหลายปีแล้ว ไม่รู้จะทำยังไงดี ตอนนี้ที่หนักๆคือเวียนหัว มือสั่น ตาเบลอ ปวดหัวเป็นพักๆ แต่ท้องเสียจนชินแล้วไม่ปวดท้องเวลาถ่ายเหมือนตอนท้องเสียจากอาหาร รบกวนแนะนำด้วยนะคะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)