1.หากอวัยวะเพศชาย มีแผลถลอกบางๆ โดนออรัลมีโอกาศติดเชื้อต่างๆสูงไหมครับ 2.การมีเพศสัมพันทางทวารหนักกับสาวประเพศ 2 โดยใส่ถุงยางแต่ว่าเกิดการอ่อนตัวก่อนเอาออก แต่ถุงยางไม่หลุดนะครับ ถอดออกเองหลังเอาออกมีความเสี่ยงมากมั้ย*ถุงไม่แตกครับเช็คโดยฉีดนำ้ใส่จุนำ้ได้อยู้เยอะ* 3.มีหนองออกปลายอวัยวะเพศชายแต่ไม่ได้ออกจากรูปัสสาวะ บีบแล้วออกจากรอยแผลเล็กๆปลายอวัยวะ ใช่นองในไหมครับ ไม่เจ็บไม่ปวดเวลาปัสสาวะเลย

สวัสดีครับ
หมอขอตอบไล่ไปทีละคำถามนะครับ
1. การเป็นฝ่ายถูกออรัลเซ็กซ์มีโอกาสติดเชื้อ HIV ได้น้อยมาจนแทบเป็น 0% เนื่องจากในน้ำลายมักมีเชื้อ HIV อยู่น้อยเกินกว่าที่จะติดต่อสู้ผู้อื่นได้ครับ

2. โดยทั่วไปแล้วการมีเพศสัมพันธ์โดยเป็นฝ่ายรุกทางทวารหนักจะมีโอกาสติดเชื้อ HIV ได้ประมาณ 0.6% ครับ แต่ถ้าหากใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยโดยที่ถุงยางอนามัยไม่มีการแตกรั่ว แม้อวัยวะเพศจะมีการอ่อนตัวลงก่อน ก็ยังมีโอกาสติดเชื้อได้น้อยมากอยู่ครับ

3. หนองที่เกิดจากโรคหนองในมักจะออกมาจากในท่อปัสสาวะครับ แต่ถ้าหากหนองออกมาจากแผลทางด้านนอกก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆมากกว่า เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียทั่วไป แผลริมอ่อน แผลริมแข็งจากซิฟิลิส เริมที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เป็นต้น ในส่วนนี้หมอแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุดูก่อนครับ

ให้แจ้งกับทางเจ้าหน้าที่คัดกรองว่ามีหนองที่บริเวณอวัยวะเพศได้เลยครับ

นอกเหนือจากโรค HIV แล้วก็ยังมีโรคไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซีที่อาจรักษาไม่หายขาดในบางคนครับ

การนอนน้อยและความเครียดไม่สามารถทำให้เป็นไข้ได้ครับ

ไข้เป็นอาการที่เกิดจากการอักเสบติดเชื้อในร่างกายซึ่งอาจเกิดได้จากทั้งเชื้อไวรัสที่สามารถหายได้เอง หรืออาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียบางอย่างที่ต้องรักษาด้วยการรับประทานยาฆ่าเชื้อ

ถ้าหากไข้ไม่ได้สูงมากและไม่ได้รบกวนการใช้ชีวิตมากหมอก็แนะนำให้ดูแลตนเองโดยการดื่มน้ำให้มากๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และสามารถรับประทานยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้ได้ทุก 4 ชั่วโมงครับ

แต่ถ้าหากมีไข้สูง หรือมีไข้ติดต่อกัน 3 วันขึ้นไป หรือมีไข้จนเกิดอาการอ่อนเพลียรุนแรง หมอก็แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินอาการและให้การรักษาเพิ่มเติมครับ

การตรวจเลือดหาการติดเชื้อ HIV ที่จะให้ผลตรวจที่เชื่อถือได้มากที่สุดจะต้องตรวจห่างจากการรับความเสี่ยงครั้งสุดท้ายนานอย่างน้อย 3 เดือนครับ เนื่องจากการตรวจเลือดเพื่อหาการติดเชื้อ HIV นั้นมักเป็นการตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ HIV ในเลือด ซึ่งร่างกายต้องใช้เวลาประมาณ 3 เดือนในการสร้างภูมิคุ้มกันให้มากพอที่จะตรวจพบได้

ในกรณีนี้หมอแนะนำว่าควรไปตรวจเลือดยืนยันอีกครั้งเมื่อห่างจากวันที่รับความเสี่ยง 3 เดือนครับ

ผลตรวจดังกล่าวสามารถเชื่อถือได้ประมาณ 90% ครับ

ถ้าหากต้องการความมั่นใจจริงๆก็ควรจะตรวจเลือดยืนยันอีกครั้งหลังรับความเสี่ยง 3 เดือนครับ