August 27, 2018 22:00
ตอบโดย
กอบศักดิ์ ชัยชะแตง (นพ.)
หากไม่มีการขาดรั่ว หรือหลุดของถุงยางอนามัย รวมไปถึงวิธีการใส่ถึงยางอนามัยถูกวิธี โอกาสในการตั้งครรภ์แทบไม่มีครับ เนื่องจากไม่มีการสอดใส่และผสมกันของไข่และอสุจิครับ
รวมทั้งไม่มีความจำเป็นต้องกินยาคุม)ุกเฉิน เนื่องจากไม่ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดแล้วยังเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้ดช่น คลื่นไส้อาเจียน มีเลือดออกกระปริบกระปรอยภายหลังใช้ยาได้ครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ตอบโดย
พิมพกา ชวนะเวสน์ (สูตินรีแพทย์)
การคุมกำเนิด ด้วยถุงยางอนามัย เป็นวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงค่ะ ถ้าใช้อย่างถูกต้อง คุมกำเนิดได้มากกว่า 95% ค่ะ
ประกอบกับ ช่วงที่มีเพศสัมพันธ์ อยู่ในช่วงวันปลอดภัย คือ 7 วันก่อนและหลัง มีประจำเดือนวันแรก โอกาสตั้งครรภ์ก็ยิ่งน้อยลงไปอีกค่ะ
อย่างไรก็ตาม ไม่มีวิธีใด คุมกำเนิดได้ 100% ค่ะ ถ้าประจำเดือนขาด ต้องตรวจดูการตั้งครรภ์อีกทีค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ตอบโดย
กันตณัฏฐ์
อยู่ตรีรักษ์ (แพทย์ทั่วไป)
(นพ.)
General physician
สวัสดีครับ
ถ้าหากเลือกที่ออกมานั้นเป็นเลือดประจำเดือนจริง โดยมีลักษณะคือ
- มาตรงตามรอบที่ควรจะเป็นในช่วง 21-35 วัน
- มานาน 3-7 วัน
- ใช้ผ้าอนามัยวันละ 2-3 แผ่น
- สีเลือดเป็นเลือดเก่าๆคล้ำๆ
ถ้าลักษณะเป็นตามนี้ก็น่าเชื่อถือว่าเป็นประจำเดือนจริงครับ และการที่มีประจำเดือนมาแล้วก็เป็นการบ่งบอกว่าไม่น่ามีการตั้งครรภ์ เนื่องจากถ้ามีการตั้งครรภ์เยื่อบุโพรงมดลูกจะต้องเจริญหนาตัวขึ้นเรื่อยๆเพื่อรองรับการฝังตัวของตัวอ่อน และไม่หลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน
นอกจากนี้การมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ถุงยางอนามัยนั้น ถ้าหากใช้ได้อย่างถูกต้องและไม่มีการแตกรั่วของถุงยางอนามัย โอกาสที่จะผิดพลาดตั้งครรภ์ก็มีเพียง 2% เท่านั้นครับ
จากเหตุการณ์นี้จึงน่าจะสบายใจได้ครับ โอกาสตั้งครรภ์มีไม่มาก
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
มั่นใจค่ะว่าเป็นประจำเดือนแน่นอน เพราะมีอาการปวดท้องด้วยเหมือนทุกๆเดือน ละมามากค่ะ
สอบถามนะคะ
ถ้าจะกินยาคุมแบบแผง21กับ28 เม็ดต่างกันยังไงคะ และควรเริ่มทานตอนไหน (ทานครั้งแรก)
แล้วถ้ามีพสพ.ไปตอนกลางวัน พอตอนเย็นเป็นประจำเดือน แปลว่าไม่ตั้งครรภ์ใช่ไหมคะ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ตอบโดย
กันตณัฏฐ์
อยู่ตรีรักษ์ (แพทย์ทั่วไป)
(นพ.)
General physician
ถ้าหากมั่นใจว่าเลือดที่ออกมาเป็นประจำเดือนแน่นอน ก็ไม่น่ามีการตั้งครรภ์จากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งก่อนหน้าการมีประจำเดือนครับ
ส่วนความแตกต่างของยาคุมกำเนิดชนิด 21 และ 28 เม็ดต่างกันตรงที่
- ยาคุมชนิด 28 เม็ดจะมียาเม็ดแป้ง(ยาเม็ดที่ไม่มีฮอร์โมนอยู่ภายใน) เพิ่มขึ้นมาใน 7 เม็ดสุดท้ายของแผงครับ
- การรับประทานยาคุมกำเนิดชนิด 21 เม็ดนั้น เมื่อรับประทานหมดในแต่ละแผงแล้วจะต้องเว้น 7 วันก่อนเริ่มยาแผงใหม่เพื่อให้ประจำเดือนมา
- ส่วนการรับประทานยาคุมชนิด 28 เม็ดนั้น การรับประทานยาเม็ดแป้ง 7 เม็ดสุดท้ายจะเทียบเท่าได้กับการเว้น 7 วันของยาคุมกำเนิดชนิด 21 เม็ด ทำให้สามารถรับประทานยาแผงต่อไปได้ทันทีในวันต่อจากที่ยาแผงเก่าหมด จึงอาจมีข้อดีเหนือกว่ายาคุมชนิด 21 เม็ดตรงที่ไม่ต้องกลัวว่าจะนับวันก่อนเริ่มยาแผงต่อไปผิด และการรับประทานยาคุมชนิด 28 เม็ด ประจำเดือนก็จะมาในช่วงที่รับประทานยาเม็ดแป้งครับ
การเริ่มรับประทานยาคุมกำเนิดทั้ง 2 ชนิดนั้นสามารถทำได้ 2 วิธี คือ
1. เริ่มรับประทานยาภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน จะทำให้ยาสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ทันทีตั้งแต่เม็ดแรก
2. ถ้าเริ่มรับประทานช้ากว่า 5 วันแรกของการมีประจำเดือน จะต้องรับประทานยาติดต่อกันอย่างน้อย 7 วันก่อนยาคุมจึงจะป้องกันการตั้งครรภ์ได้ และในช่วง 7 วันแรกของการรับประทานยาก็จะต้องงดการมีเพศสัมพันธ์หรือใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยไปก่อนครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ถ้าทานแบบ28เม็ด 7เม็ดหลังคือแป้ง ช่วงที่ประจำเดือนมาคือช่วงที่ทาน7เม็ดหลัง(ที่เป็นแป้ง)ใช่ไหมคะ ? ถ้าทานแล้วประจำเดือนจะมาสม่ำเสมอตรงตามรอบไหมคะ ? ถ้าทานภายใน5วันที่มีประจำเดือน จะสาเหตุป้องกันได้ทันทีใช่ไหมคะ ? หากทาน+กับใช้ถุงยางร่วมด้วยสามารถป้องกันได้มากแค่ไหนคะ?
ปล.ถ้าใช้ถุงยางจะเช็คทุกครั้งว่าไม่มีการขาดรึรั่วใดๆค่ะ
ตอบโดย
กันตณัฏฐ์
อยู่ตรีรักษ์ (แพทย์ทั่วไป)
(นพ.)
General physician
1. ถ้าทานแบบ28เม็ด 7เม็ดหลังคือแป้ง ช่วงที่ประจำเดือนมาคือช่วงที่ทาน7เม็ดหลัง(ที่เป็นแป้ง)ใช่ไหมคะ ?
- ใช่ครับ
2. ถ้าทานแล้วประจำเดือนจะมาสม่ำเสมอตรงตามรอบไหมคะ ?
- โดยทั่วไปมักมาสม่ำเสมอตามรอบครับ คือ จะมาในช่วงที่รับประทานยาเม็ดแป้งของแผงยาคุม
3. ถ้าทานภายใน5วันที่มีประจำเดือน จะสามารถป้องกันได้ทันทีใช่ไหมคะ ?
- ใช่ครับ สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ทันที แต่ทั้งนี้จะต้องมีการรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอในวันต่อๆไปด้วย
4. หากทาน+กับใช้ถุงยางร่วมด้วยสามารถป้องกันได้มากแค่ไหนคะ?
- การป้องกันการตั้งครรภ์ด้วยวิธีใช้การคุมกำเนิด 2 วิธีร่วมกันจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ของกันและกันได้ ทำให้ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ดีมาครับ คือ ถ้าถุงยางอนามัยมีการรั่วก็จะยังมียาคุมกำเนิดที่ช่วยป้องกันอยู่ ในทางตรงข้ามหากลืมรับประทานยาคุมกำเนิดถุงยางอนามัยก็จะช่วยป้องกันความผิดพลาดจากยาคุมกำเนิดได้ครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
หากวันนี้มีพสพ.แบบป้องกันโดยใส่ถุงยาง แล้วตกเย็นมามีเลือดออก (ครบวันประจำเดือนมาพอดี) คาดว่าจะเป็นเลือดประจำเดือน แบบนี้มีโอกาสตั้งครรภ์ไหมคะ ถ้ามีกี่%คะ เพิ่มเติมในวันที่6สิงหา ได้กินยาคุมกำเนิดฉุกไปแล้ว และได้มีเลือดที่อาจเป็นผลข้างเคียงของยาคุมออกมาแล้วค่ะ(แต่ได้ใส่ถุงยางร่วมด้วยและเช็คว่าไม่มีการขาด/รั่วใดๆ)
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)