August 16, 2019 20:38
ตอบโดย
จินตนา แสงโพธิ์ (เภสัชกร)
ประจำเดือนปกติควรจะมีปริมาณมากจนชุ่มผ้าอนามัย 2 - 3 แผ่น/วัน และมาต่อเนื่องกัน 3 - 7 วันนะคะ และผู้ที่รับประทานยาคุมฉุกเฉิน หากไม่มีการตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่จะมีประจำเดือนมาตรงตามรอบปกติเดิม หรือคลาดเคลื่อนเพียงไม่กี่วันค่ะ
แต่ภายใน 7 วันหลังรับประทานยาคุมฉุกเฉิน ผู้ใช้บางรายอาจมีเลือดออกกะปริบกะปรอย ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากยา (หรืออาจไม่มีเลยก็ได้) ซึ่งไม่สำคัญอะไร และไม่ได้บ่งชี้ว่าจะตั้งครรภ์หรือไม่
ดังนั้น ถ้าเลือดที่ออกมาเป็นเพียงเลือดกะปริบกะปรอย ไม่ได้มีปริมาณมากจนชุ่มผ้าอนามัย และไม่ได้มาตรงตามรอบปกติเดิม แนะนำให้รับประทานยาคุมฉุกเฉิน 1 แผงโดยเร็วนะคะ (ยิ่งเร็วยิ่งดี อย่างช้าไม่เกิน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์)
..
..
..
แต่ต่อไปถ้าจะมีเพศสัมพันธ์อีก ถ้าไม่ได้คุมกำเนิดด้วยวิธีใด ๆ อยู่ และยังไม่พร้อมจะมีบุตร ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
ประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินต่ำกว่าวิธีคุมกำเนิดปกติ แม้จะรับประทานยาคุมฉุกเฉินครบขนาดและทันเวลาก็ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 15 - 25% (ในขณะที่ถ้าใช้ถุงยางถูกต้องและไม่รั่วซึมหรือฉีกขาดจะมีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 2%)
จึงไม่ควรนำยาคุมฉุกเฉินมาใช้แทนวิธีคุมกำเนิดปกติเพียงเพราะไม่อยากใส่ถุงยาง เพราะเสี่ยงที่จะป้องกันไม่สำเร็จและอาจตั้งครรภ์ไม่พร้อมได้มากกว่าที่ควรจะเป็นนะคะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ตอบโดย
วชิรวิทย์ สุทธิศักดิ์ (แพทย์ทั่วไป) (นพ.)
เรื่องเลือดที่ออก ดูจากวันเเล้วน่าจะเป็นผลจากยาคุมฉุกเฉินที่กินไปครั้งเเรกครับ หรือไม่ก็เป็นแผลในช่องคลอด ถ้ามีเพศสัมพันธ์รุนเเง
ปกติหากมีเพศสัมพันธ์อีกหลังรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินครบสองเม็ดหรือหลังกินเเบบเม็ดเดียว จะเป็นเป็นช่วงที่ฤทธิ์ของยาคุมกำเนิดฉุกเฉินลดลง มีโอกาสตั้งครรภ์ครับ
ปกติ ยาคุมฉุกเฉินใช้สำหรับลดโอกาสตั้งครรภ์ ในการมีเพศสัมพันธ์ครั้งก่อนหน้าครับ
ดังนั้นผ่านมา5วัน ถ้ามีเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกันอีก
ก็ควรเริ่มยาคุมฉุกเฉินแผงใหม่ได้ครับแต่อาจเพิ่มความเสี่ยงของอาการข้างเคียงจากยา เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บเต้านม เลือดประจำเดือนแปรปรวน หรือมีเลือดออกผิดปกติ ดังนั้นหากต้องการมีเพศสัมพันธ์ต่อไปแนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัย หรือรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดปกติทั่วไปครับ
...............
เเละเดือนนึงไม่ควรใช่ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินเกินสองเเผงครับ
...............
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมีผลรบกวนกระบวนการตกไข่ รบกวนการที่อสุจิจะเข้าไปผสมกับไข่ รวมทั้งส่งผลเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูกเพื่อทำให้ยากแก่การฝังตัวของไข่ที่ผสมกับอสุจิแล้ว การรับประทานยาคุมฉุกเฉินไม่ได้มีผลป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100% แต่เป็นการไปลดโอกาสตั้งครรภ์ลงจากเดิม ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินหากรับประทานยาเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ตามด้วยยาเม็ดที่สอง จะให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 75% แต่หากเริ่มยาเม็ดแรกภายใน 24 ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ จะให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นเป็น 85% ดังนั้นจึงควรรับประทานยาเม็ดแรกหลังการมีเพศสัมพันธ์ให้เร็วที่สุดครับ
หลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินจะมีเลือดออกทางช่องคลอดได้ ประมาณ ภายใน1 สัปดาห์หลังกินยา ซึ่งไม่ใช่เลือดประจำเดือน (อาจจะมากระปริบกระปรอย หรือ ไม่มีก็ได้ครับ)
ส่วนประจำเดือนจะมาไกล้เคียงกับรอบประจำเดือนปกติ เเต่อาจมาเร็วหรือช้ากว่ารอบเดือนปกติได้ 1-3สัปดาห์
ดังนั้น หากเกิน3สัปดาห์ไปเเล้วจากวันที่ประจำเดือนควรจะมา
ให้ตรวจการตั้งครรภ์ครับ
........
การจะให้ชัวร์ว่าไม่ท้องก็ต้องรอประจำเดือนจริงๆมาครับ ซึ่งก็อาจจะเลื่อนได้จากผลของยา
หากต้องการตรวจการตั้งครรภ์ ตรวจได้เร็วที่สุด2สัปดาห์หลังมีเพศสัมพันธ์ครับ
ระหว่างนี้ถ้ามีเพศสัมพันธ์ใช้ถุงยางไปก่อนครับ
เเละการคุมกำเนิดโดยการคุมกำเนิดฉุกเฉินไม่ควรใช้เกินสองแผงต่อเดือนครับ
...........
หลังจากนี้ถ้าชัวร์ว่าไม่ท้องเเละประจำเดือนมาเเล้ว เเนะนำเลือกวิธีคุมกำเนิด เช่น ยาคุมรายเดือน ฝังยาคุม ฉีดยาคุม หรือใช้ถุงยางอนามัยครับ
.........
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
มีเพศสัมพันธ์กับแฟนครั้งนึงแล้วกินยาคุมฉุกเฉินพอผ่านมา5วัน ได้มีเพศสัมพันธ์กับแฟนอีกครั้งพอเช้าก็มีเลือดไหลเหมือน ปจด.ต้องกินยาคุมฉุกเฉินอีกมั้ย?
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)