1.พอดีก่อนตรวจpap smear หนูทายาzovirax ตอนเช้าแต่หนูมาตรวจช่วงเย็นระหว่างวันไม่ได้ทายาเพิ่ม และก่อนตรวจคุณหมอทากรดวิตามินให้หนูเพราะช่วงรูทวารหนูบวมจากแผลเริมที่เป็นก่อนนี้ แต่ตอนนี้เริมหายหมดแล้วนะคะ เลยอยากสอบถามว่าผลpapจะเชื่อถือได้ไหมคะหากมีการทายาบริเวณช่องคลอดและทากรดบริเวณรูทวารก่อนตรวจ 2.หนูฉีดวัคซีนHPVเข็มสุดท้ายตอนมีนา 2561 ก่อนฉีดตรวจมะเร็งปากมดลูกและHPVผลปกติ หลังจากนั้นหนูมีsexโดยไม่ป้องกันช่วงสิ้นเดือนกค หนูยังถือว่ามีความเสี่ยงเป็นไวรัสHPVไหมคะ และผลpapที่ตรงจไปวันนี้สามารถcover การมีsexแบบไม่ป้องกันช่วงสื้นเดิอนกค ได้ไหทคะ หริอหนูควรเว้นช่วงเสี่ยงนานแค่ไหนถึงจะตรวจมะเร็งปากมดลูกและไวรัสHPVคะ

สวัสดีค่ะ ขออนุญาตตอบเป็นข้อๆนะคะ
ข้อ
1 ยา zovirax และ กรดวิตามิน ที่ทาบริเวณรอบนอก และรูทวารหนัก ไม่มีผลต่อการตรวจ pap smear ซึ่งจะตรวจที่ปากมดลูกด้านในค่ะ ซึ่งผล PAP ก็ยังเชื่อถือได้ค่ะ
2.เชื้อไวรัส HPV มีหลายสายพันธฺค่ะ การป้องกันได้ขึ้นกับว่าคนไข้ฉีดสายพันธ์ไหนบ้างค่ะ ซึ่งวัคซีนมะเร็งปากมดลูกตอนนี้ มีอยู่ 2 ชนิดค่ะ
1)Cervarix ป้องกัน 2 สายพันธุ์ คือสายพันธุ์ 16 , 18 ซึ่ง 2 สายพันธุ์นี้ เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกถึง 70% ค่ะ
2)Gardasil ป้องกัน 4 สายพันธุ์ คือนอกจากสายพันธุ์ 16 และ 18 ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกแล้ว ยังสามารถป้องกันสายพันธุ์ 6 และ 11 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหูดหงอนไก่ได้อีกด้วย แต่ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV หูดหงอนไก่ได้ทุกราย ค่ะ
ดังนั้น คนไข้อาจจะยังมีความเสี่ยงที่จะติด HPv สายพันธฺอื่นๆได้อีกค่ะ แต่ควาทเสี่ยงจะเป็นมะเร็งปากมดลูกจาก สายพันธ์ 16,18 ลดลงค่ะ

3.การตรวจมะเร็วปากมดลูกมนขณะนั้น อาจจะพอบอกเกี่ยวกับความผิดปกติของปากมดลูกได้ หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นแล้วหรือมีความผิดปกติมาก แต่ถ้าเกิดไม่มาก อาจจะบอกได้ยากด้ค่ะ แต่การตรวจภายใน อาจบอกถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆได้อีกหลายโรค ซึ่งถ้าตรวจแลเวปกติ ก็ค่อนข้างสบายใจได้
อย่างไรก็ตาม มะเร็งปากมดลูก เป็นโรคที่ทีการดำเนินโรคยาวนาน บอกยากว่าจะเกิดอาการช่วงไหน จึงแนะนำว่าควรตรวจภายในและ pap smear เป็นประจำทุกปีค่ะ

เนื่องจากไม่เห็นลักษณะของแผล จึงไม่สามทรถบอกได้ว่าเป็นเริมจริงหรือไม่ค่ะ
แนะนำว่าหากอาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์ซ้ำค่ะ อาจมีการติดเชื้อ แบคทีเรียซ้ำซ้อนจากเริมก็ได้ค่ะ อาจจะต้องได้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดกิน หรือ ทาเพิ่มเติมค่ะ

ข้อควรระวังของการใช้ยา เช่น ห้ามใช้ในสตรีมีครรภฺ. , สตรีให้นมบุตร และ ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติกับการบริหารน้ำตาบในเลือดอย่างรุนแรงค่ะ กรณีอื่น เช่น โรคประจำตัวอย่าวอื่น ให้แจ้งแพทย์เพื่อพิจารณาการให้ยาเป็นรายๆไปค่ะ
การรับประทานมนช่วงเวลาที่แพทยฺสั่ง สามารถทานได้ตามคำแนะนำค่ะ