สวัสดีครับผมมีอาการเจ็บและแสบเวลาถ่ายอุจจาระเป็นมาได้ 8 วันแล้วครับ อาการยังไม่ค่อยดีขึ้นเลยครับ สาเหตุคือ เนื่องจาก เมื่ออาทิตย์ก่อนผมท้องผูก อุจจาระแข็ง ทำให้ถ่ายยาก ผมเลยไปหาผงไฟเบอร์มาชงกิน + กินผลไม้ นมเปรี้ยวเยอะ ทำให้ท้องเสีย ถ่ายเยอะมากจนเกินไป อาการ หลังจากวันนั้นก็มีอาการเจ็บและแสบมากเวลาถ่าย บางครั้งมีปวดนิดหน่อย มีเลือดหยดออกมาบ้างนิดหน่อยไม่มาก หลังจากถ่ายเสร็จจะรู้สึกปวดๆ ระบมๆตรงติ่งเนื้อหรือตรงก้น สัก 1-3 ชั่วโมง แล้วจะค่อยๆดีขึ้นเองในตอนบ่าย เป็นแบบนี้ทุกๆวัน มา 8 วันแล้วครับ รู้สึกดีขึ้นบ้างแต่ยังคงมีอาการเจ็บแสบ และปวดตอนถ่าย ในบางครั้งอยู่ (ในกรณีอุจจาระอ่อนและมีขนาดเล็กหน่อยก็จะไม่เจ็บมาก แต่กรณีที่อุจจาระดูเป็นก้อนขนาดกลางก็จะเริ่มมีอาการเจ็บครับ) ผมอยากทราบว่า อาการลักษณะนี้คืออาการของรอยแผลบริเวณรอบทวาร หรือ อาการริดสีดวงครับ แล้วระยะเวลาในการรักษาตัว ประมาณกี่วัน หรือ กี่อาทิตย์ครับ แล้วต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลไหมครับ หรือแค่ปรับการกิน การใช้ชีวิต แล้วแผลจะค่อยๆหายไปได้เองครับ

สวัสดีครับ
จากอาการข้างต้นนั้นมีโอกาสเป็นได้ทั้งโรคริดสีดวงทวารและการมีแผลที่ที่รอบรูทวารหนักครับ

อาการของโรคริดสีดวงทวารนั้นเกิดจากการที่หลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักมีความดันมากขึ้นจากการเบ่งถ่ายอุจจาระบ่อยๆ ทำให้มีการโป่งพองตัวขึ้นจนอาจคลำพบเป็นก้อนที่ยื่นเข้า-ออกจากรูทวารได้ อาจมีอาการปวดที่บริเวณก้อนได้ และอาจมีอาการเลือดออกเวลาถ่ายอุจจาระได้ครับ

ส่วนอาการของแผลที่บริเวณทวารหนักนั้นจะเกิดจากการถ่ายอุจจาระที่แข็งมาเสียดสีที่บริเวณรูทวารหนัก ทำให้เกิดเป็นแผล เจ็บเวลาถ่ายอุจจาระ และอาจมีอาการถ่ายปนเลือดออกมาได้

การที่จะบอกได้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไรนั้นจำเป็นต้องมีการตรวจร่างกายเพิ่มเติมก่อนครับ

ดังนั้นในเบื้องต้นหมอแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินอาการที่โรงพยาบาลเพิ่มเติมให้ทราบสาเหตุที่แน่ชัดก่อน เพื่อที่จะได้ให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไปครับ

ในเบื้องต้นนั้นหมอแนะนำให้พยายามดื่มน้ำให้มากๆและรับประทานผักผลไม้ให้มากๆเพื่อป้องกันไม่ให้อุจจาระแข็งและเกิดอาการมากขึ้นครับ

มีความเป็นไปได้ทั้งที่จะดีขึ้นได้เองและไม่ดีขึ้นครับ เพราะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคด้วย เช่น
- ถ้าเป็นแผลที่รูทวารแล้วมีการติดเชื้อแทรกซ้อนก็จะหายได้ยากขึ้น
- ถ้าเป็นริดสีดวงในระยะที่รุนแรง ก็จะไม่หายจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ก็ควรพบแพทย์ก่อน เพื่อที่จะได้ประเมินสาเหตุและความรุนแรงของโรคได้ครับ