January 21, 2020 21:10
ตอบโดย
กันตณัฏฐ์
อยู่ตรีรักษ์ (แพทย์ทั่วไป)
(นพ.)
General physician
สวัสดีครับ
การที่รับประทานยาเลื่อนประจำเดือนแล้วในช่วงที่รับประทานยาเลื่อนประจำเดือนอยู่มีเลือดออกกระปริดกระปรอย และเมื่อหยุดรับประทานยาแล้วมีเลือดออกมาในปริมาณมาก ก็มักเป็นการบอกว่าประจำเดือนจริงของรอบเดือนที่ผ่านมามาในช่วงหลังหยุดรับประทานยาเลื่อนประจำเดือนครับ
ในกรณีนี้วันที่คาดว่าจะมีประจำเดือนของรอบเดือนนี้จึงควรเริ่มนับมาจากวันที่มีเบือดออกมามากหลังหยุดรับประทานยาเลื่อนประจำเดือนครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ตอบโดย
จินตนา แสงโพธิ์ (เภสัชกร)
เพื่อความชัดเจน ขอทราบข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้นะคะ
1. ขอทราบชื่อของยาเลื่อนประจำเดือนที่ใช้ด้วยค่ะ
2. รับประทานยาเลื่อนประจำเดือนตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่คะ
3. มีเลือดกะปริบกะปรอยตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ และออกมาทุกวันในช่วงเวลานั้นใช่หรือไม่คะ
4. เลือดที่มามากจนชุ่มผ้าอนามัย มาตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่คะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ตอบโดย
วชิรวิทย์ สุทธิศักดิ์ (แพทย์ทั่วไป) (นพ.)
ยาเลื่อนประจำเดือนที่ใช้กันมากในปัจจุบัน เป็นยาเม็ดที่มีตัวยาสำคัญ คือ Norethisteroneในขนาด 5 มิลลิกรัม(ยี่ห้อPrimolutN)
เนื่องจากยามีผลทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่หลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน (จนกว่าจะหยุดยา) จึงมีข้อบ่งใช้ในการเลื่อนประจำเดือนครับ
โดยปกติ ควรเริ่มรับประทานอย่างน้อย 3 วัน ก่อนวันที่คาดว่าจะมีประจำเดือน โดยรับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น) หรือวันละ 3 ครั้ง (เช้า กลางวัน และเย็น) เเละไม่ควรใช้ยานานเกิน 2 สัปดาห์
จะมีประจำเดือนภายใน 2-3 วันหลังจากหยุดยาครับ
ดังนั้น การรับประทานยาก่อนประจำเดือนมาแค่ 1 วัน หรือตอนที่กำลังมีประจำเดือน ซึ่งเยื่อบุโพรงมดลูกได้หลุดลอกออกมาแล้ว ยาจึงอาจมีผลเเค่ช่วยลดปริมาณและจำนวนวันของการมีประจำเดือนให้น้อยลง แต่หลังจากหยุดยา จะทำให้มีประจำเดือนซ้ำอีกในช่วงเวลาใกล้ๆ กันครับ
การเลื่อนประจำเดือน เป็นการตั้งรอบเดือนใหม่ นั่นคือ หากมีประจำเดือนหลังจากหยุดยานี้ในวันไหน ประจำเดือนรอบถัดไปก็จะมาประมาณช่วงนั้นครับ ถ้าไม่มีความผิดปกติอื่นๆครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ตอบโดย
วชิรวิทย์ สุทธิศักดิ์ (แพทย์ทั่วไป) (นพ.)
ยาเลื่อนประจำเดือนที่ใช้กันมากในปัจจุบัน เป็นยาเม็ดที่มีตัวยาสำคัญ คือ Norethisteroneในขนาด 5 มิลลิกรัม(ยี่ห้อPrimolutN)
เนื่องจากยามีผลทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่หลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน (จนกว่าจะหยุดยา) จึงมีข้อบ่งใช้ในการเลื่อนประจำเดือนครับ
โดยปกติ ควรเริ่มรับประทานอย่างน้อย 3 วัน ก่อนวันที่คาดว่าจะมีประจำเดือน โดยรับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น) หรือวันละ 3 ครั้ง (เช้า กลางวัน และเย็น) เเละไม่ควรใช้ยานานเกิน 2 สัปดาห์
จะมีประจำเดือนภายใน 2-3 วันหลังจากหยุดยาครับ
ดังนั้น การรับประทานยาก่อนประจำเดือนมาแค่ 1 วัน หรือตอนที่กำลังมีประจำเดือน ซึ่งเยื่อบุโพรงมดลูกได้หลุดลอกออกมาแล้ว ยาจึงอาจมีผลเเค่ช่วยลดปริมาณและจำนวนวันของการมีประจำเดือนให้น้อยลง แต่หลังจากหยุดยา จะทำให้มีประจำเดือนซ้ำอีกในช่วงเวลาใกล้ๆ กันครับ
การเลื่อนประจำเดือน เป็นการตั้งรอบเดือนใหม่ นั่นคือ หากมีประจำเดือนหลังจากหยุดยานี้ในวันไหน ประจำเดือนรอบถัดไปก็จะมาประมาณช่วงนั้นครับ ถ้าไม่มีความผิดปกติอื่นๆครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
กินยาเลื่อนประจำเดือนแล้วไม่คิดว่าประจำเดือนจะมาวันนั้นแล้วพอกินก็มีประจำเดือนมากระยิบกระปอยค่ะพอเลิกกินก็ประจำเดือนมาเยอะค่ะอยากทราบว่าประจำเดือนตอนนี้จะมาตรงกะวันที่เรากินยาเลื่อนแล้วประจำเดือนมาหรือจะมาตอนวันที่ประจำเดือนมาเต็มที่
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)