-ถ้า พึ่งได้รับเชื้อ แล้ว รักษาเร็ว จะมีโอกาสหาย ได้หรือป่าวคะ -ได้เชื้อมาจากสามี เวลามีเพศ​สัมพันธ์​กับสามี ต้องใส่ถุงยางไหม หรือว่า ไม่ต้องใส่แล้วคะ เพราะว่า มีเชื้อแล้ว

สวัสดีครับ
ไม่ทราบว่าหมายถึงเชื้ออะไรครับ

ในกรณีที่มีการติดเชื้อ HIV ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาที่หายขาดครับ แต่ยาในปัจจุบันจะมีประสิทธิภาพสูงมาก คือ ถ้าหากรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอก็จะสามารถกดระดับเชื้อไวรัสในเลือดให้ต่ำมากจนไม่สามารถตรวจพบได้ครับ ซึ่งก็จะมีผลให้สามารถใช้ชีวิตและมีอายุที่ยืนยาวได้เหมือนกับคนปกติทั่วไป

สำหรับการมีเพศสัมพันธ์นั้นหมอยังแนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยอยู่ครับ เนื่องจากถึงแม้จะติดเชื้อ HIV เหมือนกัน แต่ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเชื้อดื้อยาอยู่ในตัว การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยก็มีโอกาสที่จะทำให้เชื้อดื้อยาถ่ายทอดไปสู่อีกคนหนึ่งได้ และจะส่งผลให้การรักษาทำได้ยากขึ้นครับ

1. ถ้าหากรับประทานยาจนตรวจไม่พบเชื้อไวรัสในเลือดทั้งคู่แล้ว ก็อาจมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยได้ครับ เนื่องจากในช่วงที่ตรวจไม่พบไวรัสในเลือด โอกาสติดเชื้อจะมีได้น้อยมากจนแทบเป็น 0%

2. ถ้าหากตรวจไม่พบเชื้อไวรัสในเลือดแล้วและต้องการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่มีการติดเชื้อโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยก็สามารถทำได้ครับ ทั้งนี้หมอแนะนำให้คู่นอนอีกคนรับประทานยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบบล่วงหน้า (Preexposure prophylaxis: PrEP) ด้วย ก็จะช่วยให้โอกาสที่จะมีการแพร่เชื้อสู้กันมีน้อยมากๆครับ

3. ระยะเวลาที่ต้องรับประทานยาต้านไวรัสนั้นไม่แน่นอนครับ เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ปริมาณเชื้อไวรัสที่ได้รับ ลักษณะของเชื้อไวรัสที่มีการดื้อยาหรือไม่ การตอบสนองต่อยาของแต่ละคน ฯลฯ หมอแนะนำให้รับประทานยาอย่างต่อเนื่องและไปพบแพทย์เพื่อตรวจติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอ จะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะทำให้ทราบได้ว่ายังตรวจพบเชื้อไวรัสอยู่หรือไม่ครับ

1. ในปัจจุบันหลังได้รับเชื้อมาประมาณ 14 วัน ก็จะเริ่มตรวจพบเชื้อได้ครับ แต่ถ้าหากตรวจเลือดในช่วงเวลานี้แล้วผลปกติ ก็ควรตรวจเลือดเพื่อยืนยันผลอีกครั้งที่เวลา 3 เดือนหลังได้รับความเสี่ยงเพื่อให้ได้ผลตรวจที่เชื่อถือได้ 99.9% ครับ

2. ถ้าหากรับประทานยาต้านจนตรวจไม่พบเชื้อในเลือดแล้ว ก็จะมีความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อให้คนที่มีเพศสัมพันธ์ได้น้อยมากจนแทบเป็น 0% ครับ จึงอาจมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยได้ แต่ถ้าหากต้องการความมั่นใจ การใช้ถุงยางอนามัยหรือการรับประทานยาต้านไวรัสแบบป้องกันล่วงหน้าก็จะสามารถช่วยให้มีเพศสัมพันธ์ได้อย่างมั่นใจมากขึ้นครับ

1. ถ้าหากมีการติดเชื้อ HIV จริง แพทย์ก็ต้องให้ยาต้านไวรัสมารับประทานครับ ไม่สามารถไม่ให้ยาต้านไวรัสได้ และการรักษาการติดเชื้อ HIV ก็ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ไม่ควรซื้อยามารับประทานเองครับ

2. ไม่จริงครับ ถ้าหากติดเชื้อ HIV ก็จะต้องรับประทานยาต้านไวรัสไปตลอดชีวิตครับ

1. ถูกต้องครับ ถึงแม้จะรักษาไม่หายขาด แต่ยิ่งได้รับประทานยาเพื่อรักษาเร็วมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งช่วยให้ยับยั้งเชื้อได้เร็วมากเท่านั้น และจะเป็นผลดีต่อการรักษาโรคครับ

2. โรค HIV ไม่ติดต่อกันทางน้ำลาย แต่ติดต่อกันทางบาดแผลได้ครับ ดังนั้นถ้าหากมีแผลในปากหมอก็แนะนำให้หลีกเลี่ยงการรับประทานอาการร่วมกันกับคนอื่นไปก่อน และเมื่อแผลหายดีแล้วก็สามารถรับประทานอาหารร่วมกันได้ครับ

ประเด็นเรื่องการตรวจไม่เจอเชื้อเท่ากับไม่แพร่เชื้อเป็น concept ใหม่ของการรักษาโรค HIV ในปัจจุบันครับ ซึ่งถ้าหากสามารถรับประทานยาต้านไวรัสจนกระทั่งตรวจไม่พบเชื้อ HIV ในเลือดได้ ก็จะทำให้มีความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นจากการมีเพศสัมพันธ์ได้น้อยมากจนใกล้เคียง 0% จึงอาจถือว่าปลอดภัยได้แม้ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ครับ

แต่ในความเห็นของหมอนั้น โรค HIV นั้นเป็นโรคที่ติดแล้วจะรักษาไม่หาย ถ้าหากสามารถทำอะไรเพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อให้เหลือน้อยที่สุดได้ เช่น การใช้ถุงยางอนามัย ก็เป็นสิ่งที่ควรทำครับ ยกเว้นแต่ว่าต้องการที่จะมีบุตร ก็ควรมีการปรึกษาสูติแพทย์เพื่อวางแผนการมีบุตรให้ปลอดภัยมากที่สุดก่อนครับ

1. การตรวจไม่พบเชื้อในเลือดนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการรับประทานยาสม่ำเสมออย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับปริมาณและการดื้อยาของเชื้อด้วย ในบางคนที่รับประทานยาสม่ำเสมอแล้วไม่สามารถกดปริมาณเชื้อในเลือดได้ก็จะต้องมีการปรับเปลี่ยนยาเพิ่มในภายหลังครับ

2. ประเด็นเรื่องการตรวจไม่เจอเท่ากับไม่แพร่เชื้อนั้นเพิ่งเป็น Concept ใหม่ของการรักษา HIV ที่เพิ่งมีมาไม่นานครับ ในบางส่วนงานจึงอาจยังไม่ทราบข้อมูลในส่วนนี้ อย่างไรก็ตามหมอยังแนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งอยู่ครับ