June 09, 2018 06:22
ตอบโดย
สารินทร์ สีหมากสุก (นพ.)
โดยปกติแล้วถ้าผู้ป่วยมีภาวะขาดน้ำหรือ dehydration เรามักจะเลือกการให้สารน้ำในรูปแบบ Isotonic solution ครับได้แก่ 0.9%NaCl, RLS, Acetar เป็นต้น ซึ่งแต่ละชนิดของสารน้ำก็จะมีส่วนประกอบที่แตกต่างกันครับ ไม่ขอลงรายละเอียด เพราะแต่ละตัวก็จะมี indication และ contraindication ที่แตกต่างกัน ส่วนระหวางที่รอ admit แล้วเปลี่ยนมาใช้น้ำเกลือชนิด 5%DNSS ไม่ทราบเหตุผลเช่นกัน จะต้องถามทางเจ้าหน้าที่ตอนนั้นเอาเอง หรือบางทีขวดน้ำเกลืออาจจะหมด หรือใช้ในแค่ช่วงระยะสั้นๆ หรืออาจเป็นความเข้าใจผิดของการสื่อสารระหว่างแพทย์และพยาบาล เพราะสุดท้ายแล้วขึ้นวอร์ดไปก็เปลี่ยนเป็น NSS อยู่ดีครับ (ตรงนี้ไม่ต้องกังวลไปครับ เพราะมักจะให้ไม่นานแบะในสารละลายดังกล่าวก็นะมีน้ำตาล 5%เพิ่มขึ้นมาแค่นั้นครับ) และถามว่าให้ไปเท่าไหร่ถึงจะพอ หลักๆจะดูจาก clinical และ vital sign ครับ เช่น ตาโหล ผิวแห้ง อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ถ่ายเหลวลดลง อัตราการเต้นหัวใจ ความดันโลหิต เป็นต้น ส่วนเรื่องไข้นั้นไม่เกี่ยวกับ ไข้ก็ต้องไปหาสาเหตุครับว่าเกิดจากอะไร อาจเกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารได้เช่นเดียวกันครับ อย่างไรก็ตาม ในเรื่องรายละเอียดต่างๆของการรักษา ถ้าหากว่าอยู่โรงพยาบาลอยู่แล้วแนะนำให้สอบถามกับทางเจ้าหน้าที่เลยจะดีที่สุดครับ เพราะหมอทางนี้ไม่ทราบ condition ของผู้ป่วย ไม่มีข้อมูลของผู้ป่วยใดๆเลย ข้อมูลที่ญาตินำมานั้นอาจจะให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง และทำให้ญาติเข้าใจผิดได้ครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ขอบคุณคะคุณหมอ
ถ้าในกรณีที่ผู้ป่วยมาด้วยอาการท้องเสีย ถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 10 ครั้ง ER ได้ให้ IV 0.9%NSS 500 loading 300rate 100( อันนี้หนูคิดว่าให้เพราะเสียน้ำมาก)เเล้ว เเต่เมื่อให้น้ำเกลือหมดเเล้ว เเล้วผู้ป่วยมีไข้ ให้ 5%D/N/S เเทน อันนี้หนูไม่ค่อยเข้าใจคะว่าเพราะอะไร เเล้วหลังจากนั้นเมื่อ Admit ที่วอร์ด ก็ได้เปลี่ยนกลับมาเป็น 0.9%NSS อีกอ่ะคะ หนูอยากทราบว่าเป็นเพราะอะไร
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)