June 26, 2019 13:08
ตอบโดย
กันตณัฏฐ์
อยู่ตรีรักษ์ (แพทย์ทั่วไป)
(นพ.)
General physician
สวัสดีครับ
การฉีดยาคุมและการฝังยาคุมต่างก็เป็นวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพดีทั้งคู่ การจะเลือกใช้การคุมกำเนิดวิธีใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละบุคคลครับ
การฉีดคุมนั้นจะต้องฉีดยาทุก 1-3 เดือนขึ้นอยู่กับยี่ห้อของยาที่ใช้ โดยมีโอกาสผิดพลาดตั้งครรภ์ได้ 0.3-3%
- ถ้าหากเลือกใช้ยาฉีดคุมกำเนิดชนิด 1 เดือน ก็จะทำให้ยังมีประจำเดือนมาเป็นปกติในทุกรอบเดือน และหลังหยุดฉีดยาคุมก็จะเริ่มกลับมามีการตั้งครรภ์ได้ทันที จึงมีความเหมาะสมสำหรับในกรณีที่ต้องการคุมกำเนิดในระยะสั้น
- ถ้าหากฉีดยาคุมชนิด 3 เดือนก็จะมีผลข้างเคียงทำให้ประจำเดือนขาดหายไประหว่างฉีดยาคุมได้ และหลังหยุดฉีดยาคุมแล้วการตกไข่ก็จะกลับมาเป็นปกติได้ช้า และในบางคนก็อาจต้องรอ 6-12 เดือนหลังหยุดฉีดยาคุมจึงจะกลับมามีการตั้งครรภ์ได้อีกครั้ง การฉีดยาคุมกำเนิดชนิดนี้จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดในระยะยาว
การฝังยาคุมกำเนิด การฝังยาครั้งหนึ่งจะป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับยี่ห้อยาที่ใช้ และจะมีโอกาสผิดพลาดตั้งครรภ์ได้ 0.05% ข้อดีของการคุมกำเนิดวิธีนี้คือใช้เป็นการคุมกำเนิดในระยะยาวได้โดยไม่ต้องไปพบแพทย์บ่อยๆและผลข้างเคียงก็ไม่ได้ต่างไปจากการฉีดยาคุมมาก แต่ก็อาจมีข้อเสียเรื่องอาจมีหลอดยาคุมให้สังเกตเห็นได้ แต่ก็มักไม่ได้สังเกตเห็นได้ชัดมากครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ตอบโดย
จินตนา แสงโพธิ์ (เภสัชกร)
การที่จะตัดสินได้ว่าวิธีคุมกำเนิดใดที่ "เหมาะสมกับผู้ถามมากกว่า" จะต้องทราบข้อมูลทางสุขภาพและความต้องการอื่น ๆ ของผู้ถามด้วยค่ะ ข้อมูลที่ผู้ถามให้มาจึงไม่เพียงพอที่จะตัดสินได้นะคะ
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้ถามไม่มีข้อจำกัดใด ๆ เลยในการใช้ฮอร์โมนคุมกำเนิด มีข้อแนะนำดังนี้ค่ะ
ยาคุมชนิดฉีดที่มีใช้ในประเทศไทยในปัจจุบัน มี 2 ชนิด คือชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยว (ฉีดทุก 3 เดือน) และชนิดฮอร์โมนรวม (ฉีดทุก 1 เดือน) ประสิทธิภาพโดยรวมไม่ต่างกัน แต่จุดเด่นของยาคุมชนิดฉีดทุก 3 เดือนคือคุมได้นานกว่าและไม่มีผลข้างเคียงจากฮอร์โมนเอสโตรเจน (เช่น คลื่นไส้, อาเจียน, ปวดศีรษะ, บวมน้ำ, ฝ้า และมีความเสี่ยงน้อยกว่าที่จะเกิดปัญหาลิ่มเลือดอุดตัน)
ส่วนจุดเด่นของยาคุมชนิดที่ฉีดทุก 1 เดือนก็คือผู้ใช้จะมีประจำเดือนมาตามรอบปกติทุกเดือน
ส่วนยาฝังคุมกำเนิดเป็นยาคุมชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยว มีผลคุมกำเนิดได้ 3 ปี หรือ 5 ปี ขึ้นกับรุ่นที่ใช้ แต่มีผลข้างเคียงเด่นคล้ายกับยาคุมชนิดที่ฉีดทุก 3 เดือน คืออาจทำให้เกิดปัญหาเลือดกะปริบกะปรอย, ประจำเดือนไม่ปกติ (แต่ผลข้างเคียงนี้โดยทั่วไปมักไม่ทำให้เกิดผลเสียใด ๆ ต่อสุขภาพ ยกเว้นในกรณีที่มีเลือดออกมากหรือนานผิดปกติ)
ซึ่งจุดเด่นของยาฝังคุมกำเนิดก็คือ มีประสิทธิภาพในการป้องกันสูงมาก ผู้ใช้มีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 0.05% เท่านั้น ในขณะที่ผู้ที่ฉีดยาคุมกำเนิดจะมีโอกาสตั้งครรภ์ 0.2 - 6%
และยาฝังคุมกำเนิดก็มีระยะเวลาคุมกำเนิดได้นาน, ไม่มีผลข้างเคียงจากฮอร์โมนเอสโตรเจน รวมถึงเมื่อถอดยาฝังคุมกำเนิดออกแล้ว จะมีไข่ตกและพร้อมตั้งครรภ์ได้เร็ว หรือถ้าไม่ตั้งครรภ์ก็จะมีประจำเดือนมาตามปกติได้เร็ว (ซึ่งต่างจากยาคุมชนิดที่ฉีดทุก 3 เดือนที่อาจใช้เวลานานหลายเดือนกว่าที่ผลข้างเคียงจากยาจะหายไป)
และหากพิจารณาสถิติจากการศึกษาการคุมกำเนิดด้วยวิธีต่าง ๆ ก็จะเห็นได้ชัดว่าเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ที่มีการใช้ต่อหลังคุมกำเนิดไป 1 ปี ในกลุ่มผู้ที่ใช้ยาฝังคุมกำเนิดจะมีสัดส่วนที่สูงกว่าผู้ที่ฉีดยาคุมกำเนิดมาก (การศึกษาจะเปรียบเทียบยาฝังคุมกำเนิดชนิด 3 ปีกับยาคุมที่ฉีดทุก 3 เดือน)
ซึ่งแม้จะไม่สามารถสรุปได้ว่าผู้ใช้ทนผลข้างเคียงจากยาฝังคุมกำเนิดได้มากกว่ายาคุมชนิดฉีดทุก 3 เดือน (เพราะการหยุดใช้อาจมาจากสาเหตุอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับผลข้างเคียงจากยาก็ได้ เช่น พร้อมจะมีบุตรแล้วจึงหยุดใช้) แต่ก็อาจมองได้ว่าเมื่อเปรียบเทียบจากช่วงเวลาที่เท่ากัน การถอดยาฝังคุมกำเนิดออกก่อนกำหนดไม่ได้มีมากกว่าวิธีคุมกำเนิดอื่น ๆ อย่างที่กังวลค่ะ
อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ผู้ถามไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อพิจารณาวิธีคุมกำเนิดที่ "เหมาะสม" กับผู้ถามนะคะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ตอนก่อนจะคลอดบุตรออกมาพยาบาลบอกให้ฝังยาคุมหลังคลอดแต่กลัวฝังไปแล้วต้องออกเห็นหลายคนเอาออกเพราะอะไรเหรอค่ะ
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ตอบโดย
จินตนา แสงโพธิ์ (เภสัชกร)
เหตุผลในการถอดยาฝังคุมกำเนิดออกก่อนกำหนด มีได้หลายสาเหตุค่ะ เช่น ผู้ใช้พร้อมจะมีบุตรแล้ว, มีข้อบ่งชี้ให้ถอดออกก่อนกำหนด หรืออาจทนผลข้างเคียงจากยาไม่ได้
แต่หากผู้ถามต้องการทราบว่า "หลายคนที่ผู้ถามเห็นว่าถอดยาฝังคุมกำเนิดออกก่อนกำหนด" มีเหตุผลอะไร การสอบถามโดยตรงจากกลุ่มคนเหล่านั้น น่าจะทำให้ผู้ถามได้รับคำตอบที่ชัดเจนกว่านะคะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ตอบโดย
กันตณัฏฐ์
อยู่ตรีรักษ์ (แพทย์ทั่วไป)
(นพ.)
General physician
การฝังยาคุมกำเนิดนั้นเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ปลอดภัยและสามารถใช้ในการคุมกำเนิดอย่างต่อเนื่องในระยะยาวได้ครับ
สาเหตุของการถอดยาคุมกำเนิดแบบฝังของแต่ละคนนั้นจะมีเหตุผลที่แตกต่างกันออกไปได้ เช่น
- ครบกำหนดถอดยาคุมออก
- ต้องการเปลี่ยนไปคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น
- มีผลข้างเคียงจากการฝังยาคุมที่ทำให้ไม่สามารถทนได้ เช่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียนอย่างรุนแรง น้ำหนักตัวเปลี่ยนไป มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
- ต้องการปล่อยมีบุตร
ทางที่ดีที่สุดก่อนที่จะตัดสินใจฝังยาคุมจึงควรตัดสินใจให้ถี่ถ้วนก่อน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องถอดยาคุมออกก่อนกำหนดโดยไม่จำเป็นครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
อายุ19มีบุตร1คนระหว่างฝังยาคุมกับฉีดยาคุมอะไรเหมาสมกว่าเพราะกลัวฝังยาคุมแล้วต้องเอาออกเห็นคนเอาออกเยอะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)