ถ้าทานยาคุมแบบเดือนของ B-Lady ขณะที่ประจำเดือนผ่านไปแล้ว14วันละคะถ้ากินวันเสาร์ ละมีเพศสัมพันธ์ หลั่งในเนี้ยจะท้องรึป่าวค่ะ

สวัสดีครับ
การทานยาคุม B-lady เป็นยาคุมแบบรายเดือนชนิดฮอร์โมนรวม หากเริ่มการรับประทานหลังวันที่ 5 ของประจำเดือนวันแรกต้องทานไปอย่างน้อย 7 วันครับถึงจะเริ่มมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ โดยระหว่าง 7 วันนี้ต้องใช้ถุงยางอนามัยป้องกันการตั้งครรภ์ครับ ในกรณีนี้เมื่อมีเพศสัมพันธ์ไปแล้วในขณะที่ยาคุมแบบรายเดือนยังไม่มีประสิทธิภาพจึงมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ครับ เบื้องต้นถ้ายังไม่เกิน 72 ชั่วโมง หรืออย่างช้าที่สุดที่ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินยังพอมีประสิทธิภาพ คือ 120 ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์ แนะนำให้ทานยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินครับ หากรับประทานอย่างถูกต้องจะมีประสิทธิภาพประมาณ 80-85% ครับ แต่หากเลยช่วงนี้มาแล้ว ถ้าประจำเดือนขาด แนะนำให้ตรวจการตั้งครรภ์หลังจากการมีเพศสัมพันธ์ไปแล้วอย่างน้อย 14 วันครับ

ถ้าผู้ถามใช้ยาคุมเป็นแผงแรก และเริ่มรับประทานภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน ก็จะถือว่ามีผลคุมกำเนิดได้ตั้งแต่เม็ดแรกที่รับประทานนะคะ โอกาสตั้งครรภ์คือ 0.3 - 9% ตามผลป้องกันปกติ หรือค่อนไปทางต่ำถ้ารับประทานตรงเวลาสม่ำเสมอ

แต่ถ้าผู้ถามใช้ยาคุมเป็นแผงแรก แต่เริ่มรับประทานไม่ทัน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน (ซึ่งใช้ได้ถ้าไม่มีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์อยู่) ก็จะต้องรับประทานยาคุมบีเลดี้ติดต่อกันให้ครบ 7 วันก่อนจึงจะเริ่มคุมกำเนิดได้ ในช่วงที่ยังไม่มีผลคุมกำเนิดจากยาคุมบีเลดี้ จึงต้องงดมีเพศสัมพันธ์ หรือต้องใช้ถุงยางอนามัยป้องกันไปก่อน

ดังนั้น หากผู้ถามไม่มั่นใจ และต้องการคำแนะนำโดยละเอียด ขอทราบข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้ค่ะ
1. เริ่มรับประทานยาคุมแผงนี้ในวันที่เท่าไหร่คะ
2. ก่อนจะใช้ยาคุมแผงนี้ คุมกำเนิดด้วยวิธีใด และใช้วิธีนั้นมาจนถึงเมื่อไหร่คะ
3. ประจำเดือนรอบล่าสุดมาตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่คะ
4. นับจากวันแรกที่มีประจำเดือนมาในรอบล่าสุด มาจนถึงปัจจุบัน มีเพศสัมพันธ์ในวันที่เท่าไหร่บ้าง และป้องกันอย่างไร

ขอบคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ

เมื่อผู้ถามยังไม่ได้เริ่มใช้ยาคุมบีเลดี้ ก็แนะนำให้รอประจำเดือนมาก่อนจึงค่อยเริ่มใช้แผงแรกภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือนนะคะ หากใช้ทันช่วงเวลาดังกล่าว จะถือว่ามีผลคุมกำเนิดได้ตั้งแต่เม็ดแรกที่รับประทานค่ะ

การเริ่มรับประทานยาคุมบีเลดี้ในวันนี้ไม่สามารถลดความเสี่ยงที่เคยมีได้นะคะ และไม่ให้ผลคุมกำเนิดได้ทันทีที่ผู้ถามต้องการ แต่ต้องรอให้รับประทานติดต่อกันครบ 7 วันก่อนจึงจะเริ่มคุมกำเนิดได้ ดังนั้น "ถ้ากินวันเสาร์แล้วหลั่งใน จะท้องหรือเปล่า" ก็มีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากกว่าที่ควรจะเป็น เพราะยังไม่มีผลป้องกันจากยาคุมบีเลดี้ค่ะ

ดังนั้น ในช่วงนี้ ถ้าต้องการมีเพศสัมพันธ์ แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยป้องกันไปก่อนนะคะ ซึ่งหากใช้ถุงยางถูกวิธี และไม่มีปัญหารั่วซึมหรือฉีกขาด ก็จะมีโอกาสตั้งครรภ์น้อยมากจนไม่น่าจะกังวลค่ะ

การมีเพศสัมพันธ์ในวันที่ 8 - 9 กุมภาพันธ์ ผู้ถามและแฟนป้องกันด้วยวิธีใดบ้างคะ

ขอบคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ

หากใช้ถุงยางอนามัยถูกวิธี และไม่มีปัญหารั่วซึมหรือฉีกขาด ก็มีโอกาสตั้งครรภ์เพียงแค่ 2% ซึ่งถือว่าน้อยมากจนไม่น่าจะกังวลนะคะ ดังนั้น ถ้าต้องการใช้ยาคุมรายเดือนแผงแรกโดยไม่รอให้ประจำเดือนมาก่อน ก็สามารถทำได้ แต่จะต้องรับประทานยาคุมบีเลดี้ติดต่อกันให้ครบ 7 วันก่อนจึงจะเริ่มคุมกำเนิดได้

นั่นคือ ถ้าผู้ถามเริ่มรับประทานคืนนี้ และใช้ต่อเนื่องกันไปทุกวัน เมื่อถึงเวลารับประทานยาคุมของวันเสาร์ถัดไป ก็ถือว่ามีผลคุมกำเนิดจากยาแล้ว และสามารถมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยได้ค่ะ

การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีผลป้องกันจากยาคุมรายเดือน จะมีโอกาสตั้งครรภ์ 0.3 - 9% หรือค่อนไปทางต่ำ คือ 0.3% ถ้ารับประทานถูกต้องและตรงเวลาสม่ำเสมอ

อย่างไรก็ตาม การใช้ยาคุมรายเดือนแผงแรกไม่ตรงรอบประจำเดือน จะทำให้ประจำเดือนรอบนี้เลื่อนช้าออกไปตามการใช้ยานะคะ นั่นคือ ประจำเดือนจะมาในช่วงที่ผู้ถามใช้ยาคุมบีเลดี้หมดแผงไปแล้วค่ะ

และแม้ว่าถ้าใช้ถุงยางถูกวิธีและไม่มีปัญหารั่วซึมหรือฉีกขาดจะมีโอกาสตั้งครรภ์น้อยมาก แต่ก็ไม่สามารถป้องกันได้ 100% นะคะ ซึ่งยาคุมรายเดือนก็ไม่สามารถลดความเสี่ยงหรือเปลี่ยนแปลงผลที่เกิดขึ้นได้ หากมีการตั้งครรภ์ไปแล้ว แม้จะรับประทานยาคุมบีเลดี้ต่อไปจนหมดแผง แต่การตั้งครรภ์นั้นก็จะยังคงอยู่เหมือนเดิม

ดังนั้น ในกรณีนี้ การใช้ถุงยางป้องกันไปก่อน แล้วรอเริ่มรับประทานยาคุมแผงแรกภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าค่ะ

1. ถ้ามีผลคุมกำเนิดจากยาแล้วก็ป้องกันได้ไม่แตกต่างกันค่ะ ประสิทธิภาพจะสูงถ้ารับประทานตรงเวลาสม่ำเสมอ

2. มีหลายยี่ห้อค่ะ แนะนำให้สอบถามรายละเอียดจากเภสัชกรประจำร้านยาใกล้บ้านได้เลยนะคะ

ถ้าใช้ยาคุมแผงแรกทัน 5 วันแรกของการมีประจำเดือนก็ถือว่ามีผลคุมกำเนิดได้เลย แต่ถ้าเริ่มใช้ไม่ทันช่วงเวลานั้น ก็ต้องรอให้รับประทานยาคุมบีเลดี้ติดต่อกันให้ครบ 7 วันก่อนจึงจะเริ่มคุมกำเนิดได้

แต่เมื่อมีผลคุมกำเนิดจากยาคุมรายเดือนแล้ว ไม่ว่าจะเริ่มใช้ในลักษณะใด การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีผลป้องกันจากยาคุมรายเดือนจะมีโอกาสตั้งครรภ์ 0.3 - 9% เหมือนกันนะคะ ซึ่งประสิทธิภาพในการป้องกันจะมากหรือน้อยจะขึ้นกับความสม่ำเสมอในการรับประทานยาค่ะ

ถ้ารับประทานยาคุมพรีมแผงแรกไม่ทัน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน ก็จะต้องรับประทานเม็ดสีชมพูติดต่อกันให้ครบ 7 วันก่อนจึงจะมีผลคุมกำเนิดได้ค่ะ

ถ้ามีผลคุมกำเนิดจากยาคุมพรีมแล้ว สามารถมีเพศสัมพันธ์หลั่งในได้ตามปกตินะคะ จะมีทุกวัน หรือวันละหลายครั้ง ก็ไม่เป็นไร ขอแค่ให้รับประทานยาคุมถูกต้องและตรงเวลาสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันการตั้งครรภ์ค่ะ

โดยทั่วไปจะแนะนำให้รับประทานยาคุมรายเดือนในเวลาก่อนนอนตอนกลางคืน เพื่อลดอาการคลื่นไส้อาเจียนที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในช่วงแรก ๆ ที่ผู้ใช้ยังไม่ชินกับยา

แต่ก็ควรจะรับประทานให้ตรงเวลาสม่ำเสมอ เพื่อให้ระดับยาในเลือดไม่แปรปรวน จะได้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันการตั้งครรภ์และลดปัญหาเลือดออกกะปริบกะปรอยนะคะ

ดังนั้น ให้ผู้ถามพิจารณาว่า เวลาใดที่ใกล้เคียงเวลานอน และเป็นเวลาที่ผู้ถามสะดวกที่จะรับประทานในเวลาเดิมได้ตลอด ก็ให้ยึดเป็นเวลารับประทานยาคุมของผู้ถามเอง ซึ่งควรจะรับประทานให้ตรงเวลาสม่ำเสมอค่ะ

ยาคุม "พรีม 28" เป็นยาคุมรายเดือน ไม่มีผลคุมกำเนิดฉุกเฉินค่ะ

ถ้าประจำเดือนรอบล่าสุดมาวันที่ 3 กุมภาพันธ์ การที่เริ่มรับประทานมา 7 วันก็แสดงว่า เริ่มรับประทานยาคุมไม่ทัน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน จึงต้องรับประทานเม็ดสีชมพูติดต่อกันให้ครบ 7 วันก่อนจึงจะมีผลคุมกำเนิดได้

นับจากวันแรกที่มีประจำเดือนรอบล่าสุดมาจนถึงปัจจุบัน หากผู้ถามมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือป้องกันด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพต่ำ ก่อนที่จะถึงเวลารับประทานเม็ดที่ 8 ของแผง ก็มีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากค่ะ ถ้ายังไม่เกิน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ก็ควรจะรับประทานยาคุมฉุกเฉินทันที หรือเร็วที่สุดที่ทำได้ เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวให้น้อยลงนะคะ

แต่ถ้าผู้ถามไม่มีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ไม่มีผลป้องกันจากยาคุมเลย และรอจนกว่าจะถึงเวลารับประทานเม็ดที่ 8 ของแผงแล้วจึงค่อยมีเพศสัมพันธ์ ก็มีโอกาสตั้งครรภ์เพียงแค่ 0.3 - 9% ตามผลป้องกันปกติของยาคุมรายเดือน ซึ่งถ้ารับประทานถูกต้องและตรงเวลาสม่ำเสมอ ความเสี่ยงก็จะค่อนไปทางต่ำค่ะ

ในกรณีที่ไม่ตั้งครรภ์ การที่ประจำเดือนยังไม่มาก็อาจเป็นผลจากยาคุมที่ใช้เอง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ประจำเดือนของผู้ถามก็ควรจะมาในช่วงที่รับประทานเม็ดสีขาวของแผง โดยมักจะมาประมาณกลางแถวสีขาว หรืออาจคลาดเคลื่อนจากนั้นเล็กน้อย

ดังนั้น ถ้าผู้ถามมีเพศสัมพันธ์เฉพาะในช่วงที่มีผลป้องกันจากยาคุม "พรีม 28" แล้ว ก็ไม่น่าจะกังวลค่ะ แต่ถ้าไม่ใช่ ก็ควรพิจารณาการคุมกำเนิดฉุกเฉินตามที่แนะนำไปข้างต้นด้วยนะคะ

ไม่มั่นใจว่าเป็นผู้ถามรายเดิมที่สอบถามมาล่าสุดหรือไม่ เนื่องจากข้อมูลที่ให้ไว้ในเวลา 18.17 น. ของวันที่ 4 มีนาคม ระบุว่า "รับประทานยาคุมพรีมได้ 7 วันแล้วจึงมีเพศสัมพันธ์หลั่งใน 5 ครั้ง"

แต่ข้อมูลที่ให้มาในเวลา 08.30 น. ของวันที่ 5 มีนาคม กลับระบุว่า "รับประทานเม็ดที่ 8 ตอน 2 ทุ่ม และมีเพศสัมพันธ์ตอน 5 ทุ่ม" ซึ่งไม่สอดคล้องกับที่ให้มาข้างต้น

เนื่องจาก ถ้าผู้ถามเริ่มมีเพศสัมพันธ์หลังจากที่รับประทานเม็ดที่ 8 ไปแล้ว ก็ควรจะระบุมาตั้งแต่แรกว่า "รับประทานยาคุมพรีมได้ 8 วันแล้วจึงมีเพศสัมพันธ์" นะคะ
..
..
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเริ่มรับประทานยาคุมแผงนี้ถูกต้องหรือไม่ ถ้ามีการใช้ "เม็ดยาฮอร์โมน" ต่อเนื่องกันครบ 7 วันแล้ว การมีเพศสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็มีผลป้องกันจากยาคุมที่ใช้แล้วค่ะ

ซึ่งการมีเพศสัมพันธ์ที่อยู่ในช่วงที่มีผลป้องกันจากยาคุมรายเดือน จะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 0.3 - 9% หรือค่อนไปทางต่ำถ้ารับประทานถูกต้องและตรงเวลาสม่ำเสมอนะคะ

เนื่องจากยังไม่ได้รับคำตอบในประเด็นที่สงสัย จึงแนะนำให้พิจารณาตามข้อความนี้นะคะ

"ไม่ว่าจะเริ่มรับประทานยาคุมแผงนี้ถูกต้องหรือไม่ ถ้ามีการใช้ "เม็ดยาฮอร์โมน" ต่อเนื่องกันครบ 7 วันแล้ว (ครบ 7 วัน เมื่อถึงเวลารับประทาน "เม็ดยาฮอร์โมน" เม็ดที่ 8) การมีเพศสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็มีผลป้องกันจากยาคุมที่ใช้แล้ว

ซึ่งการมีเพศสัมพันธ์ที่อยู่ในช่วงที่มีผลป้องกันจากยาคุมรายเดือน จะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 0.3 - 9% หรือค่อนไปทางต่ำถ้ารับประทานถูกต้องและตรงเวลาสม่ำเสมอค่ะ"

ถ้าเริ่มรับประทานยาคุมแผงแรกไม่ทัน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน มีความเสี่ยงที่ยาอาจจะยับยั้งการตกไข่ในรอบเดือนนั้นไม่ทันค่ะ จึงต้องงดมีเพศสัมพันธ์ หรือต้องใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย ไปจนกว่าจะรับประทานยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมติดต่อกันให้ครบ 7 วันก่อนนะคะ

แต่เมื่อผู้ถามรับประทานเม็ดยาสีชมพูของยาคุมพรีมติดต่อกันครบ 7 วันแล้ว ถ้าไข่ไม่ตกไปแล้วก่อนหน้านี้ ยาที่รับประทานไปนั้นก็น่าจะมีผลยับยั้งไข่ที่กำลังจะตกได้แล้ว จึงถือว่ามีผลป้องกันจากยาคุมที่ใช้และสามารถมีเพศสัมพันธ์หลั่งในได้ตามปกติ

เมื่อมีผลป้องกันจากยาคุมรายเดือนอยู่ จะมีเพศสัมพันธ์วันละหลายครั้ง, มีเพศสัมพันธ์ทุกวัน หรือมีเพศสัมพันธ์ก่อนหรือหลังเวลารับประทานยาคุม ก็ไม่มีปัญหาค่ะ โอกาสตั้งครรภ์คือ 0.3 - 9% ตามผลป้องกันปกติของยาคุมรายเดือน หรือค่อนไปทางต่ำถ้ารับประทานตรงเวลาสม่ำเสมอ

ดังนั้น หากผู้ถามต้องการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันการตั้งครรภ์ ก็ควรจะรับประทานยาคุมให้ตรงเวลาสม่ำเสมอนะคะ

ถ้ารับประทานคลาดเคลื่อนจากเวลาปกติไม่เกิน 1 - 2 ชั่วโมง ไม่น่าจะส่งผลกระทบกับประสิทธิภาพของยาคุมมากนัก โดยเฉพาะถ้าไม่ได้รับประทานผิดเวลาบ่อย ๆ นะคะ

และในกรณีของผู้ถาม การรับประทานช้าไป 1 นาที ถือว่ารับประทานได้ค่อนข้างตรงเวลาค่ะ จึงไม่น่าจะกังวลอะไร

ไม่มั่นใจว่าเป็นผู้ถามรายเดิมหรือเปล่า เพราะถ้าใช่ ก็ได้มีการให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้ว ซึ่งสามารถอ่านทบทวนจากคำแนะนำที่เคยตอบไปข้างต้นได้เลยนะคะ

หรือถ้าต้องการทราบแน่ชัดว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่ ก็สามารถตรวจด้วยชุดทดสอบการตั้งครรภ์ทางปัสสาวะ ในตอนเช้าหลังตื่นนอน ห่างจากวันที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดอย่างน้อย 14 วันได้ค่ะ
..
..
..
***หลังจากนี้ หากมีคำถามเพิ่มเติม แนะนำให้ตั้งกระทู้คำถามขึ้นใหม่ และให้ข้อมูลโดยละเอียด เพื่อที่จะสามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสมได้นะคะ***