December 25, 2018 07:11
ตอบโดย
พิศุทธิกาญจญ์ รังคกูลนุวัฒน์ (พญ.)
ในกรณีทีตุ่มน้ำใสขึ้นมาก่อน และแตกเป็นแผลตามมาลักษณะคล้าย เริมที่ริมฝีปากค่ะ
>อาการของผู้ที่เป็นโรคเริมที่ปาก มักจะค้นพบตุ่มแดง ๆ ใส ๆ เกิดขึ้นบริเวณปากบนและปากล่าง อีกทั้งยังคงรู้สึกคัน และมีอาการปวดแสบปวดร้อนตลอดเวลา
>โรคเริมที่ริมฝีปาก เกิดขึ้นได้เนื่องจากการติดเชื้อไวรัส Herpes โดยทางสัมผัสกับตุ่มของคนที่เป็นมาก่อนโดยตรง เช่น การจูบ การดื่มน้ำแก้วเดียวกัน เป็นต้น
>เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อไวรัส เชื้อไวรัสจะแพร่กระจายและทำการฟักตัวภายใน 2 – 10 วัน และหลังจากนั้นก็จะเกิดเป็นตุ่นน้ำใส ๆ ขึ้นเป็นกลุ่มบริเวณริมฝีปากอย่างรวดเร็ว ซึ่งตุ่มน้ำใส ๆ นี้จะทำให้เกิดอาการคัน ปวดแสบปวดร้อน แต่จะแห้งและหายไปภายใน 7-10 วัน
>คนที่เคยเป็นแล้ว จะไม่หายขาด แต่จะมีช่วงที่อาการสงบค่ะ ความเครียด การพักผ่อนน้อยเป็นอีกสองสาเหตุ ที่ทำให้เกิดโรคเริมซ้ำได้เช่นเดียวกัน
>>การรักษา โรคเริมที่เกิดขึ้นบริเวณปาก ถือได้ว่าไม่ใช่โรคร้ายแรงแต่อย่างใด หลังจากที่เป็นประมาณ 2 สัปดาห์ โรคเริมจะค่อย ๆ แห้งและหายไปเอง แต่ถ้าหากต้องการหายจากโรคเริมอย่างรวดเร็ว สามารถเลือกซื้อยาต้านเชื้อไวรัสเฉพาะที่ มาทาบริเวณที่เกิดโรคเริมได้เช่นเดียวกัน อีกทั้งผู้ป่วยยังคงสามารถรับประทานยาอะไซโคลเวียร์ร่วมด้วยได้ (ทานยาประมาณ 5 วันค่ะ) และถ้าหากมีอาการปวดมาก ยังคงสามารถประคบด้วยน้ำเกลือหรือน้ำเย็นที่บริเวณแผล วันละประมาณ 4-5 ครั้ง เพื่อช่วยลดอาการปวดให้ลดลงได้นั่นเอง
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ไม่ทราบยาเพื่อรักษาแผลในปากซึ่งเกิดจากอาการเริม คือยาอะไรครับมียาทาไหม?
สอบถามอาการ เริมในช่องปาก(เหงือก) ตามรูปที่แนบไปใช่อาการของเริมไหมครับ? ก่อนหน้าที่ประมาณ2วันในปากบริเวณที่ มีแผลเหมือนมีตุ่มพองขึ้นมา ปัจจุบัน ไม่เจ็บไม่ปวดไม่แสบแผล รู้สึกแค่ระคายคอ เท่านั้น วิธีการรักษาต้องทำอย่างไรครับรู้สึกลำคาญอยากหาย..
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)