ไม่ต้องรอจนถึงบั้นปลาย...รู้หรือไม่ว่าคนไข้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการรักษา?

รายละเอียดสำหรับกำหนดวาระสุดท้ายของตัวเอง ว่าจะให้รักษาแบบใด แบบไหนที่ไม่ยอมรับ เพื่อจะได้ไม่ทิ้งภาระให้ผู้อยู่เบื้องหลังตัดสินใจลำบาก
เผยแพร่ครั้งแรก 4 มิ.ย. 2019 อัปเดตล่าสุด 5 ส.ค. 2020 เวลาอ่านประมาณ 3 นาที
ไม่ต้องรอจนถึงบั้นปลาย...รู้หรือไม่ว่าคนไข้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการรักษา?

กฎหมายเกี่ยวกับการปฎิเสธการรักษา

สืบเนื่องจาก มาตรา 12 ใน พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกที่บัญญัติการตายของผู้ป่วย โดยระบุว่า

“บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

การดำเนินการตามหนังสือเจตนาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้ว มิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดและให้พ้นจากความรับผิดทั้งปวง”

‘สิทธิที่จะปฏิเสธการรักษา’ จึงหมายถึงการแสดงเจตจำนงค์หรือเจตนาที่จะกำหนดวาระสุดท้ายของตนว่าต้องการจะเสียชีวิตแบบใด เป็นไปเพื่อยุติความทรมานของอาการเจ็บป่วยที่รุนแรงที่การรักษาทำได้เพียงยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต โดยลงรายละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษรใน “หนังสือแสดงเจตนาขอปฏิเสธการรักษา (Living Will)” ที่มีผลยินยอมทางกฎหมาย ในการเขียนเอกสารต้องกระทำในขณะที่ผู้ป่วยมีสัมปชัญญะครบถ้วนไว้ล่วงหน้ารวมทั้งมีการลงชื่อและข้อมูลพยานของทั้งฝั่งผู้ป่วยและพยานฝ่ายผู้ให้การรักษาและผู้ใกล้ชิดที่รับมอบอำนาจในการแสดงเจตนาแทนหรือปรึกษากับแพทย์ในการวางแผนการรักษาดูแลต่อไปในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ตามปกติทั้งนี้กระบวนการทำหนังสือควรผ่านคำปรึกษาจากแพทย์หรือนักกฎหมายที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้

กฎหมายดังกล่าวถือเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการจากไปอย่างสงบตามธรรมชาติ ไม่ทุกข์ทรมาน ไม่ต้องยืดชีวิตด้วยเครื่องมือหรือเทคโนโลยีทางการแพทย์แม้ก่อนหน้านี้จะเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในหมู่แพทย์ นักจริยธรรม และนักกฎหมายว่า การปฏิบัติตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขฯ ตามมาตรา 12 พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ขัดกฎหมายหรือหลักจริยธรรมหรือไม่ และถูกต้องหรือไม่ที่ญาติมีสิทธิในชีวิตของผู้ป่วย

สิทธิปฏิเสธการรักษาเป็นสิทธิที่ผู้ป่วยทุกคนมีติดตัวอยู่แล้ว เพียงแต่ทำการแสดงเจตนาเป็นหลักฐานเพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ ญาติ สามารถปฏิบัติตามหนังสือแสดงเจตนาได้ตรงตามความประสงค์ของผู้ป่วยอย่างไม่มีความผิดฐานละเลยการให้การรักษาหรือเพิกเฉยต่อการการรักษาคนไข้ หรือผิดกฎหมาย จึงได้มีการจัดทำร่างกฎกระทรวง หลักเกณฑ์ วิธีการในการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตขึ้น

เหตุผลที่บางคนปฎิเสธการรักษา

ตัวอย่างของภาวะความทุกข์ทรมานทางกายหรือทางจิตใจ ที่เกิดจากการบาดเจ็บหรือโรคที่ไม่อาจรักษาให้หายหรือบรรเทาลดน้อยลงพอที่จะทําให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น เช่น การเป็นอัมพาตสิ้นเชิงตั้งแต่คอลงไป โรคสมองเสื่อม โรคที่มีความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อและข้อที่มีสาเหตุจากความผิดปกติทางพันธุกรรม โรคมะเร็ง หรือโรคเรื้อรังอื่น ๆ ที่ไม่สามารถรักษาหายซึ่งการเจ็บป่วยนั้นทำให้ไม่รู้สึกตัว ไม่สามารถโต้ตอบ และใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้อีกต่อไปหรือกรณีป่วยเป็นโรคที่ทางการแพทย์วินิจฉัยแล้วว่า ไม่มีทางรักษาให้หายเป็นปกติได้ สามารถทำได้เพียงแค่ใช้เทคโนโลยียืดชีวิตออกไปโดยไม่มีความหวังว่าจะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ ซึ่งบางครั้งเครื่องมือหรือการรักษาต่างๆ ก็อาจทำให้ผู้ป่วยได้รับความทุกข์ทรมานมากกว่าปกติ เช่น การเจาะคอเพื่อให้อาหาร เป็นต้น

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

 “งานวิจัยทางวิชาการของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ซึ่งทำในเชิงปริมาณในผู้ป่วยหญิง 15 คนที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะท้าย พบว่าผู้ป่วยไม่รู้กฎหมายนี้เลย แต่ยอมรับว่าดี แต่ก็ยังยุ่งยากในทางปฏิบัติ…”

 “การสำรวจในห้องไอซียู พบว่า ผู้ป่วยระยะสุดท้ายในห้องไอซียู 50 เปอร์เซ็นต์และในหอผู้ป่วยกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง ไม่รู้ภาวะตัวเอง แล้วก็ต้องกลับมานอนรอความตายด้วยเครื่องพยุงชีพ ซึ่งเป็นความทุกข์ทรมานทั้งผู้ป่วย ญาติ และต่อระบบสุขภาพ”

สถิติข้างต้นเป็นข้อมูลและตัวอย่างของกระบวนการดูแลผู้ป่วยที่ติดเตียงยังไม่นับรวมภาระค่าใช้จ่ายระยะยาวอีกมากในการยืดชีวิตรอคอยวาระสุดท้ายซึ่งไม่ต่ำกว่าหลักหมื่นต่อเดือน สิทธินี้จึงเป็นข้อมูลทางเลือกเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยตัดสินใจไม่รับการรักษา เพื่อยุติความทรมานจากการเจ็บป่วย และพร้อมเข้าสู่ “วาระสุดท้าย” ที่ตนเป็นผู้กำหนดเอง

ดูเพิ่มเติม

ตัวอย่าง เงื่อนไข และคำแนะนำในการทำหนังสือแสดงเจตนาขอปฏิเสธการรักษา

กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนา

ประกาศสํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการปฏิบัติงานของสถานบริการสาธารณสุข ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่ของสถานบริการสาธารณสุขตามกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดําเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย พ.ศ. ๒๕๕๓


4 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Patients' rights. World Health Organization (WHO). (https://www.who.int/genomics/public/patientrights/en/)
Do I have the right to refuse treatment?. NHS (National Health Service). (https://www.nhs.uk/common-health-questions/nhs-services-and-treatments/do-i-have-the-right-to-refuse-treatment/)
Do Patients Have the Right to Refuse Treatment?. Verywell Health. (https://www.verywellhealth.com/do-patients-have-the-right-to-refuse-treatment-2614982)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)