กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD
ทีมแพทย์ HD
ตรวจสอบความถูกต้องโดย
ทีมแพทย์ HD

มะเขือเทศ กิน/ดื่มอย่างไร ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

น้ำมะเขือเทศมีประโยชน์ต่อร่างกายได้แน่ ถ้าเลือกกิน หรือดื่มให้เป็น
เผยแพร่ครั้งแรก 28 มี.ค. 2017 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 1 ก.ค. 2019 เวลาอ่านประมาณ 4 นาที
มะเขือเทศ กิน/ดื่มอย่างไร ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • น้ำมะเขือเทศ เป็นน้ำผักที่มีสารไลโคปีนจำนวนมาก ซึ่งสารชนิดนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดีที่มีประโยชน์หลายด้าน
  • การรับประทานน้ำมะเขือเทศ จะช่วยป้องโรคมะเร็งได้หลายชนิด รวมถึงช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณ กำจัดไขมันไม่ดีในร่างกาย เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
  • คุณควรรับประทานมะเขือเทศแบบสุกมากกว่าแบบดิบ และควรดื่มน้ำมะเขือเทศหลังรับประทานอาหาร เพราะเป็นเวลาที่ไขมันในร่างกายจะดูดซึมสารไลโคปีนได้ดีกว่า
  • คุณควรรับประทานมะเขือเทศแต่พอดี เพราะหากรับประทานมากเกินไปก็เสี่ยงเป็นนิ่ว เจ็บกระดูก นอนไม่หลับ และท้องผูกได้
  • นอกจากรับประทานมะเขือเทศ คุณยังต้องรับประทานอาหารประเภทอื่นให้ครบ 5 หมู่ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ รวมถึงไปตรวจสุขภาพประจำปีเป็นประจำด้วย (ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพผู้หญิง ผู้ชายทุกวัยได้ที่นี่)

น้ำมะเขือเทศ เป็นเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณหลากหลาย และมีสารอาหารสำคัญมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องการบำรุงผิวพรรณ น้ำมะเขือเทศจึงกลายมาเป็นเครื่องดื่มที่คุณผู้หญิงทั้งหลายนิยมดื่มกันมาก 

นอกจากการบำรุงผิวแล้วยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีกมากมาย โดยมีสารสำคัญ คือ "ไลโคปีน (lycopene)" ที่มีมากในมะเขือเทศ ซึ่งเป็นสารชนิดหนึ่งที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและจำเป็นในทุกช่วงอายุของคนเรา

วิธีรับประทานมะเขือเทศให้ได้ประโยชน์มากที่สุด

ส่วนมากวิธีรับประทานผัก หากต้องการให้ได้แร่ธาตุ และวิตามินครบถ้วน ก็มักจะต้องรับประทานแบบดิบๆ แต่การรับประทานมะเขือเทศเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ต้องทำให้สุกเสียก่อน 

เนื่องจากมะเขือเทศที่ผ่านความร้อนแล้วจะทำให้สารไลโคปีนกับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศหลุดออกจากกันได้ง่าย ร่างกายจึงสามารถนำไปใช้ได้ดีกว่าแบบไม่ผ่านความร้อน อีกทั้งสารไลโคปีนนั้นสามารถละลายได้ดีในน้ำมัน 

ดังนั้นหากเราใช้น้ำมันในการปรุงมะเขือเทศจะยิ่งทำให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนดียิ่งขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า การรับประทานมะเขือเทศแบบสดๆ แล้วจะไม่ดี เพราะในมะเขือเทศสดก็มีวิตามินซีสูงเช่นกัน หากต้องการวิตามินซีสูงเพื่อช่วยบำรุงทำให้ผิวพรรณดี ควรรับประทานสด 

แต่ถ้าคุณต้องการให้ร่างกายได้รับสารไลโคปีนมากๆ ก็ควรรับประทานมะเขือเทศที่ผ่านความร้อนมาแล้วจะดีกว่า

นอกจากนี้ ผู้หญิงทุกคนยังควรรับประทานมะเขือเทศสด เพราะจะทำให้ได้รับวิตามินซี และใยอาหารมาก ส่วนผู้ชายควรรับประทานมะเขือเทศสุกเพื่อให้ร่างกายได้รับสารไลโคปีนมากๆ ก็จะช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้ 

สารอาหารและให้พลังงาน

สารอาหารในมะเขือเทศ 100 กรัม

ประโยชน์ของไลโคปีนในมะเขือเทศ

สารไลโคปีน (lycopene) เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบมากในผักผลไม้ที่มีสีส้ม สีแดง เช่น แครอท แตงโม มะละกอ ฟักข้าว เกรปฟรุต ซึ่งถือว่า เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่สามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งและช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้อย่างดีเยี่ยม 

มะเขือเทศสด 100 กรัม จะมีสารไลโคปีนประมาณ 0.9–9.30 มิลลิกรัม ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงสุขภาพ ดังนี้

  1. การรับประทานไลโคปีนอย่างน้อย 30 มิลลิกรัมต่อวัน (เทียบเท่าซอสมะเขือเทศ 3 ช้อนโต๊ะ) จะช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ เพราะในมะเขือเทศจะมีไฟเบอร์ และน้ำอยู่มากจึงช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายให้เป็นไปอย่างปกติ
    อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ ที่ชัดเจนที่สุด คือ มะเร็งต่อมลูกหมาก รองลงมาคือ มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งตับอ่อนได้อีกด้วย
  2. ชะลอความแก่ ลดริ้วรอยแห่งวัย บำรุงผิวพรรณให้สดใส ชุ่มชื้น เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิซี วิตามินเอสูง แต่สำหรับผู้ที่มีริ้วรอยแล้วก็มีทางเลือกอื่นๆ
  3. ช่วยบำรุงสายตา เพราะมีวิตามินเอสูง 
  4. วิตามินซีที่สูงในมะเขือเทศช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิด และเลือดออกตามไรฟัน 
  5. ช่วยกำจัดไขมันเลว (Low-Density Lipoprotein: LDL) ทำให้ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และหลอดเลือด
  6. ช่วยควบคุม และลดระดับน้ำตาลในเลือด สำหรับคนที่ไม่แน่ใจว่าระดับน้ำตาลในเลือดของตนเองผิดปกติหรือไม่ การตรวจสุขภาพอาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคุณ 
  7. ลดอาการบวมน้ำในร่างกาย ช่วยควบคุมสมดุลของเหลวในเซลล์ และเนื้อเยื่อ
  8. ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง 
  9. บำรุงผมให้แข็งแรงเงางามมีสุขภาพดี
  10. โฟเลตช่วยบำรุงเลือดจากภาวะเลือดจางจากสาเหตุขาดโฟเลต โดยเฉพาะในมารดาขณะตั้งครรภ์การได้รับโฟเลตเพิ่มขึ้นจะช่วยป้องกันโอกาสเสี่ยงคลอดเด็กตัวเล็กก่อนกำหนด และป้องกันการเกิดทารกที่มีปัญหาหลอดประสาทไม่ปิด (neural tube defects)แต่กำเนิดได้
  11. ตามตำรายาไทยระบุสรรพคุณว่า 
    1. ใบมะเขือเทศ ใช้รักษาหน้าเกรียมเนื่องจากถูกแดดเผา 
    2. ผล ใช้เป็นยาระบาย ช่วยให้เจริญอาหาร แก้กระหายน้ำ แก้ไฟไหม้น้ำร้อนลวก ช่วยย่อยอาหาร และใช้ฟอกเลือด 
    3. ราก ใช้รากสดมาต้มเอาน้ำดื่มเพื่อบรรเทาอาการปวดฟันได้

วิธีดื่มน้ำมะเขือเทศอย่างไรให้ถูกต้อง และมีประโยชน์

ถ้าอยากดื่มน้ำมะเขือเทศสดเพื่อให้ได้ประโยชน์มากสุดนั้น เราจำเป็นต้องกำหนดช่วงเวลาการดื่มเพื่อให้ร่างกายนำสารอาหารไปใช้งานได้ดีที่สุด สามารถแบ่งออกได้ 2 ช่วงเวลา ได้แก่

  1. ดื่มก่อนรับประทานอาหาร หรือในช่วงท้องว่าง อาจจะหยดน้ำมันใส่เล็กน้อยลงไปเพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น
  2. ดื่มหลังอาหารในทันที เพราะไขมันในอาหารจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนได้ดีมากขึ้น

ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมะเขือเทศ

มะเขือเทศมีธาตุโพแทสเซียมสูงมาก ดังนั้นผู้ป่วยโรคไต หรือผู้มีโพแทสเซียมในเลือดสูง จึงไม่ควรรับประทานเลย ไม่ว่าจะแบบสด หรือปรุงสุก 

เพราะร่างกายผู้ป่วยกลุ่มนี้จะไม่สามารถขับโพแทสเซียมออกได้ไม่หมด นอกจากนี้ ผู้ที่มีภาวะกรดไหลย้อนก็ไม่ควรรับประทานมะเขือเทศมากเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้อาการแสบร้อนกลางอกหนักขึ้นได้

ควรดื่มน้ำมะเขือเทศเท่าไรจึงจะพอดี

ถ้าดื่มน้ำมะเขือเทศมากเกินไป ร่างกายจะได้รับวิตามินซีสูงเกินไปจนเกิดเป็นนิ่วได้ ส่วนการได้รับวิตามินเอมากเกินไป ก็อาจสะสมในร่างกายส่งผลให้เกิดอาการเบื่ออาหาร เจ็บกระดูก นอนไม่หลับ และท้องผูกได้ 

นอกจากนี้ การได้รับโพแทสเซียมปริมาณสูงอาจมีผลต่อการทำงานของหัวใจ ดังนั้นปริมาณการดื่มน้ำมะเขือเทศที่แนะนำต่อวันคือ ไม่ควรเกิน 2 แก้ว หรือ 2 กล่อง(เล็ก) ต่อวัน เพราะเป็นปริมาณที่ร่างกายสามารถขับโพแทสเซียมออกไปได้หมด

อย่างไรก็ตาม การดื่มน้ำมะเขือเทศแบบกล่องก็ยังต้องเลือกดื่มอย่างระมัดระวัง เพราะอาจมีการเติมโพแทสเซียมลงไป ดังนั้นควรดูตารางโภชนาการที่กล่องน้ำมะเขือเทศด้วย โดยควรเลือกชนิดที่มีโซเดียมต่ำ ไม่เช่นนั้นแล้วร่างกายอาจจะได้รับโซเดียมมากไป ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคอื่นๆ ได้อีก

นอกเหนือจากมะเขือเทศแล้ว คุณควรรับประทานอาหารประเภทอื่นให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบ 5 หมู่ด้วย รวมถึงออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที เพื่อให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหวมากขึ้นทำให้การขับถ่ายง่ายขึ้น และพักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายจะได้แข็งแรงยิ่งขึ้น

ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพผู้หญิง ผู้ชายทุกวัย เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


5 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Ferraro PM, Curhan GC, Gambaro G, Taylor EN. Total, Dietary, and Supplemental Vitamin C Intake and Risk of Incident Kidney Stones. Am J Kidney Dis. 2016 Mar;67(3):400-7. doi: 10.1053/j.ajkd.2015.09.005. Epub 2015 Oct 14. (http://www.sciencedirect.com/…/article/pii/S0272638615011634)
Wondu Garoma Berra Huazhong University of Science and Technology, Analysis of Lycopene in Tomato (Lycopersicon Esculentum, Mill.) Fruits (https://www.researchgate.net/publication/319932308_Analysis_of_Lycopene_in_Tomato_Lycopersicon_Esculentum_Mill_Fruits)
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, ผลของมะเขือเทศ กล้วย และแอปเปิ้ล ต่อระดับน้ำตาลและระดับอินซูลินในเลือด (http://www.medplant.mahidol.ac.th/active/shownews.asp?id=381)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป