กองบรรณาธิการ HonestDocs
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HonestDocs

แคลเซียม (Calcium)

เผยแพร่ครั้งแรก 27 ม.ค. 2019 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 8 นาที

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • แคลเซียม คือ แร่ธาตุสำคัญที่มีผลมากในระบบกระดูก และฟัน รวมไปถึงระบบอื่นๆ ของร่างกายด้วยเช่นเดียวกัน โดยคุณสามารถรับประทานแคลเซียมได้ในอาหารประเภทนม เต้าหู้ ปลากระป๋อง รวมถึงอาหารเสริมแคลเซียมชนิดเม็ด
  • แคลเซียมเป็นแหล่งพลังงานสำรองของร่างกาย ซึ่งเมื่อคุณอายุมากขึ้น แคลเซียมในร่างกายก็จะค่อยๆ ลดลงไปตามอายุที่มากขึ้น โดยผู้หญิงจะเสื่อมเร็วกว่าผู้ชาย
  • นอกจากโรคเกี่ยวกับกระดูก และฟัน แคลเซียมยังมีประโยชน์ในการรักษาอาการเจ็บป่วยอื่นๆ อีก เช่น อาหารไม่ย่อย ไตล้มเหลว อาการก่อนมีประจำเดือน ความดันโลหิตสูง
  • คนบางกลุ่มจำเป็นต้องระมัดระวังในการรับประทานแคลเซียมเสริมเข้าร่างกาย เช่น ผู้มีระดับฟอสเฟตในเลือดสูง หญิงตั้งครรภ์ ผู้มีระดับกรดในกระเพาะต่ำ
  • ยาหลายกลุ่ม หากรับประทานร่วมกับการใช้แคลเซียม จำเป็นจะต้องศึกษาวิธีรับประทานให้ดี เพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาต่อกัน เช่น ยาปฏิชีวนะควิโนโลน ยาปฏิชีวนะเตตราไซคลิน ยาไดจอกซิน ยาเลโลไทรอกซีน
  • เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจกระดูก

แคลเซียม (Calcium) เป็นแร่ธาตุสำคัญอีกอย่างของร่างกาย โดยเฉพาะต่อระบบกระดูก และฟัน รวมไปถึงระบบหัวใจ ระบบประสาท

คุณสามารับประทานแคลเซียมได้ผ่านการรับประทานอาหารประเภทนม ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนม เต้าหู้ ผลไม้รสเปรี้ยว เกลือแร่ ปลากระป๋องมีก้าง หรือน้ำแร่

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

อีกทั้งในปัจจุบันได้มีการรับประทานแคลเซียมในรูปแบผลิตภัณฑ์อาหารเสริมกันมากขึ้นเพื่อรักษาแคลเซียมในร่างกายให้มีปริมาณเพียงพอ รวมถึงป้องกันภาวะแคลเซียมต่ำซึ่งสามารถส่งผลต่อทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยเกี่ยวกับกระดูกได้ เช่น

  • โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)
  • ภาวะที่กระดูกอ่อนแอเนื่องจากความหนาแน่นต่ำ
  • โรคกระดูกอ่อนในเด็ก (Rickets)
  • โรคกระดูกน่วม (Osteomalacia)

นอกจากนี้ แคลเซียมยังช่วยบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual syndrome: PMS) ภาวะตะคริวขึ้นขาระหว่างตั้งครรภ์ (Leg cramps during pregnancy) ความดันโลหิตสูงระหว่างการตั้งครรภ์ (Pre-eclampsia) ด้วย

และแคลเซียมยังสามารถลดความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก บรรเทาภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดบายพาสลำไส้ ความดันโลหิตสูง ภาวะคอเลสเตอรอลสูง โรคไลม์ (Lyme) ได้

การทำงานของแคลเซียม

กระดูก และฟันของร่างกายคนเรามีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบมากกว่า 99% อีกทั้งเราสามารถพบแคลเซียมในเลือด กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อต่างๆ ได้อีก

แคลเซียมในกระดูกเป็นแหล่งพลังงานสำรองที่ร่างกายสามารถดึงไปใช้ได้ และเมื่อคนเราแก่ตัวลง ความเข้มข้นของแคลเซียมก็มักจะลดลงตามอายุที่มากขึ้น เนื่องจากร่างกายขับออกมาในรูปของเหงื่อ เซลล์ผิวหนัง และของเสีย 

โดยเฉพาะในเพศหญิง การดูดซึมแคลเซียมของร่างกายจะค่อยๆ น้อยลงเนื่องจากระดับฮอร์โมนเอสโทรเจน (Estrogen) น้อยลง แต่ทั้งนี้การดูดซึมแคลเซียมจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ เพศ และอายุของแต่ละบุคคล

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ตรวจกระดูกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 534 บาท ลดสูงสุด 61%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

ด้วยเหตุที่กระดูกมีการเสื่อมสลาย และสร้างใหม่ตลอดเวลา โดยใช้แคลเซียมเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการนี้ การรับประทานอาหารเสริมเพิ่มเติมจึงเป็นตัวช่วยที่น่าพิจารณา

แคลเซียมกับการรักษาอาการต่างๆ

การรับประทานแคลเซียมในรูปของอาหารเสริม สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ ได้ดังต่อไปนี้

  • อาหารไม่ย่อย (Indigestion) การรับประทานแคลเซียมคาร์บอเนต (Calcium carbonate) เป็นยาลดกรด สามารถช่วยรักษาภาวะอาหารไม่ย่อยได้
  • ระดับโพแทสเซียมในเลือดสูง (Hyperkalemia) การฉีดแคลเซียมกลูโคเนต (Calcium gluconate) เข้าเส้นเลือด สามารถแก้ไขภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูงได้
  • ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ (Hypocalcemia) การรับประทานอาหารเสริมชนิดนี้สามารถรักษาและป้องกันภาวะระดับแคลเซียมในเลือดต่ำได้
  • ไตล้มเหลว การรับประทานแคลเซียมคาร์บอเนตหรือแคลเซียมอะซิเทตช่วยควบคุมระดับฟอสเฟตในเลือดของผู้ป่วยโรคไตวายได้ดี แต่แคลเซียมซิเทรต (Calcium citrate) จะใช้รักษาไม่ได้
  • โรคกระดูกพรุนจากยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Glucocorticoid-induced osteoporosis) การรับประทานอาหารเสริมแคลเซียมร่วมกับวิตามินดี (Vitamin D) อาจช่วยลดการสูญเสียแร่ธาตุในกระดูกของผู้ที่กำลังใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ในระยะยาวได้
  • ความผิดปกติของต่อมพาราไทรอยด์ (Hyperparathyroidism) อาหารเสริมแคลเซียมสามารถช่วยจะลดระดับฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (Parathyroid hormone) ของผู้ป่วยไตวายที่มีระดับฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูงเกินไปได้
  • กระดูกพรุน (Osteoporosis) อาหารเสริมแคลเซียมสามารถป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก และรักษาภาวะกระดูกพรุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการเจริญเติบโตของกระดูกส่วนมากจะเกิดขึ้นในช่วงวัยรุ่น ซึ่งหลังจากนั้นความแข็งแรงของกระดูกผู้หญิงจะคงอยู่เช่นนั้นจนถึงอายุ 30-40 ปี

    หลังจากช่วงวัยนี้แล้ว กระดูกจะค่อยๆ สูญเสียมวลออกไปในอัตราเร็วที่ 0.5-1 % ต่อปี สำหรับผู้ชาย การสูญเสียมวลกระดูกนี้จะเกิดขึ้นหลังจากช่วงวัยดังกล่าวหลาย 10 ปี และการสูญเสียมวลกระดูกเช่นนี้จะมีมากในผู้ที่รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมน้อย 

  • อาการก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual syndrome (PMS)) พบว่า การบริโภคอาหารเสริมชนิดนี้ทุกวันจะช่วยลดการเกิดอารมณ์แปรปรวน ท้องอืด อยากอาหาร และความเจ็บปวด อีกทั้งการเพิ่มปริมาณแคลเซียมในอาหารยังช่วยป้องกันการเกิดอาการก่อนมีประจำเดือนได้ 
  • การเพิ่มขึ้นของกระดูกตัวอ่อน สำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับแคลเซียมจากอาหารน้อยควรรับประทานอาหารเสริมแคลเซียมเพิ่มเติม เพื่อช่วยเพิ่มความหนาแน่นของแร่ธาตุของตัวอ่อนในครรภ์ 
  • ฟลูออร์ไรด์เป็นพิษ (Fluoride poisoning) การรับประทานอาหารเสริมชนิดนี้ร่วมกับวิตามินดีกับวิตามินซี (Vitamin C) อาจช่วยลดระดับฟลูออไรด์ในเด็ก และลดอาการจากภาวะฟลูออไรด์เป็นพิษได้
  • ความดันโลหิตสูง การรับประทานอาหารเสริมแคลเซียมอาจช่วยลดความดันโลหิตได้เล็กน้อย และแคลเซียมยังออกฤทธิ์ได้ดีในกลุ่มผู้ที่อ่อนไหวต่อเกลือ รวมถึงผู้ที่มักได้รับแคลเซียมน้อย อีกทั้งการรับประทานแคลเซียมยังเหมือนจะช่วยลดระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยโรคไตร้ายแรงได้อีกด้วย
  • ความดันโลหิตสูงระหว่างการตั้งครรภ์ (Pre-eclampsia) การรับประทานอาหารเสริมแคลเซียม 1-2 กรัม/วัน อาจช่วยลดภาวะความดันโลหิตสูงที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ได้ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดความดันโลหิตสูงของหญิงตั้งครรภ์ได้ 50%
  • การสูญเสียฟัน การรับประทานอาหารเสริมแคลเซียม และวิตามินดีสามารถช่วยป้องกันการสูญเสียฟันของผู้สูงอายุได้

ข้อควรรู้ก่อนรับประทานแคลเซียม

แคลเซียมค่อนข้างปลอดภัยสำหรับผู้คนส่วนมากเมื่อต้องรับประทาน หรือให้ทางเส้นเลือดในปริมาณที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงบ้างเล็กน้อย เช่น เรอ หรือเกิดแก๊สในร่างกาย

สำหรับคนทั่วไป การรับแคลเซียมในแต่ละวันมีปริมาณที่ต้องคำนึงตามเพศ และช่วงอายุ เนื่องจากร่างกายคนเรามีแคลเซียม 1-2 % ของน้ำหนักตัวอยู่แล้ว ดังนั้นจึงควรศึกษาก่อนบริโภคในแต่ละวัน (Recommended Dietary Allowances: RDA) ดังตารางต่อไปนี้

ตารางแสดงปริมาณความต้องการแคลเซียมที่ควรได้รับต่อวัน (หน่วยเป็นมิลลิกรัม)

อายุ ปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับต่อวันในเพศชาย (มิลลิกรัม) ปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับต่อวันในเพศหญิง (มิลลิกรัม)
1-3 ปี 700 700
4-8 ปี 1,000 1,000
9-13 ปี 1,300 1,300
14-18 ปี 1,300 1,300
19-50 ปี 1,000 1,000
51-70 ปี 1,000 1,200
71 ปีขึ้นไป 1,200 1,200


อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยควรระวังปริมาณการใช้ เพราะปริมาณที่สูงเกินอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงได้ โดยเฉพาะสตรีมีครรภ์ หรือสตรีที่กำลังให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานอาหารเสริมชนิดนี้ 

คำเตือน และข้อควรระวังเป็นพิเศษในการใช้แคลเซียม

บุคคลที่เป็นกลุ่มเสี่ยง หรือมีภาวะความผิดปกติ ซึ่งควรระมัดระวัง หรือหลีกเลี่ยงการรับประทานแคลเซียม มีดังนี้

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ตรวจกระดูกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 534 บาท ลดสูงสุด 61%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

  • สตรีมีครรภ์ และแม่ที่ต้องให้นมบุตร แคลเซียมค่อนข้างปลอดภัยหากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมทั้งในกลุ่มสตรีมีครรภ์ และแม่ให้นมบุตร แต่ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลเรื่องความปลอดภัยของการให้แคลเซียมทางเส้นเลือดของคนทั้ง 2 กลุ่มนี้
  • ผู้มีระดับกรดในกระเพาะต่ำ (Achlorhydria) ผู้ที่มีระดับน้ำย่อยต่ำจะดูดซึมแคลเซียมน้อยลงเมื่อมีแคลเซียมเข้าไปในกระเพาะที่กำลังว่างอยู่ อย่างไรก็ตาม ระดับกรดที่ต่ำในกระเพาะอาหารไม่ได้ลดการดูดซึมแคลเซียมที่มากับอาหารแต่อย่างใด
    คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำย่อย คือ การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียมร่วมกับอาหาร
  • ผู้มีระดับฟอสเฟตในเลือดสูง (Hyperphosphatemia) หรือระดับฟอสเฟตในเลือดต่ำ (Hypophosphatemia) แคลเซียมกับฟอสเฟตต้องคงอยู่ในร่างกายอย่างสมดุลกัน การรับประทานแคลเซียมมากเกินไปจะทำให้สมดุลนี้เสีย และสร้างอันตรายขึ้นมา
    ดังนั้นห้ามรับประทานแคลเซียมเพิ่มเติมจากที่ผู้ดูแลสุขภาพของคุณแนะนำ
  • ผู้มีต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยเกิน (Hypothyroidism) แคลเซียมจะรบกวนการรักษาด้วยการใช้ฮอร์โมนไทรอยด์ ดังนั้นควรแยกการใช้ยาแคลเซียมกับยาไทรอยด์ออกจากกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ผู้มีความสามารถในการทำงานไตต่ำกว่าปกติ กลุ่มผู้ที่อยู่ในภาวะไตทำงานไม่สมบูรณที่ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียม จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีแคลเซียมในเลือดมากเกินไปได้
  • ผู้สูบบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่จะทำให้การดูดซึมแคลเซียมจากกระเพาะอาหารน้อยลง

การใช้แคลเซียมร่วมกับยาชนิดอื่น

ควรระมัดระวังในการใช้แคลเซียมร่วมกับยาเหล่านี้

1. ยาปฏิชีวนะควิโนโลน (Quinolone antibiotics)
แคลเซียมอาจลดการดูดซึมยาปฏิชีวนะของร่างกาย การรับประทานแคลเซียมร่วมกับยาปฏิชีวนะบางชนิดอาจลดประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะนั้น เพื่อเลี่ยงการตีกันของยาเช่นนี้ คุณควรรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียมหลังการรับประทานยาปฏิชีวนะอย่างน้อย 1 ชั่วโมง 

ตัวอย่างยาปฏิชีวนะที่อาจตีกับแคลเซียม ได้แก่ Ciprofloxacin (Cipro), Enoxacin (Penetrex), Norfloxacin (Chibroxin, Noroxin), Sparfloxacin (Zagam) และ Trovafloxacin (Trovan)

2. ยาปฏิชีวนะเตตราไซคลิน (Tetracycline antibiotics)
แคลเซียมอาจเกาะติดกับยาปฏิชีวนะเตตราไซคลินในกระเพาะอาหาร ซึ่งจะลดปริมาณการดูดซึมเตตระไซคลินของร่างกาย เพื่อเลี่ยงการตีกันเช่นนี้ ควรรับประทานแคลเซียม 2 ชั่วโมงก่อน หรือ 4 ชั่วโมงหลังใช้ยาเตตราไซคลิน โดยยาเตตราไซคลินที่อาจตีกับแคลเซียม คือ 

  • Demeclocycline (Declomycin)
  • Minocycline (Minocin) 
  • Tetracycline (Achromycin)

3. ยาแคลซิโปทรีน (Calcipotriene (Dovonex))
ยาแคลซิโปทรีน คือ ยาที่คล้ายกับวิตามินดี โดยวิตามินดีจะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซับแคลเซียมดีขึ้น ซึ่งการกินอาหารเสริมแคลเซียมร่วมกับยาแคลซิโปทรีนอาจทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมมากเกินไป

4. ยาไดจอกซิน (Digoxin (Lanoxin))
แคลเซียมสามารถส่งผลต่อการทำงานของหัวใจคุณได้ โดยยาไดจอกซินใช้เพื่อควบคุมการเต้นของหัวใจให้แรงขึ้น 

การกินแคลเซียมร่วมกับยาไดจอกซินอาจเพิ่มผลจากยา ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ หากคุณกำลังใช้ยาไดจอกซินอยู่ ควรแจ้งแพทย์ก่อนรับอาหารเสริมแคลเซียมทุกครั้ง

5. ยาดิลไทอะเซม (Diltiazem (Cardizem, Dilacor, Tiazac))
แคลเซียมส่งผลต่อหัวใจของคุณ ยาดิลไทอะเซมก็ส่งผลต่อหัวใจเช่นกัน การกินแคลเซียมปริมาณมากร่วมกับยาดิลไทอะเซม อาจลดประสิทธิภาพของยาดิลไทอะเซมได้

6. ยาเลโวไทรอกซีน (Levothyroxine)
ยาเลโวไทรอกซีนใช้เพื่อลดการทำงานของไทรอยด์ แคลเซียมจะลดปริมาณยาเลโวไทรอกซีนที่ร่างกายควรจะดูดซึม ซึ่งการกินแคลเซียมร่วมกับยาเลโวไทรอกซีนจะทำให้ผลจากยาลดลง 

ดังนั้น คุณควรใช้ยาเลโวไทรอกซีนห่างจากแคลเซียมอย่างน้อย 4 ชั่วโมง โดยยาที่มีส่วนประกอบของยาเลโวไทรอกซีน คือ Armour Thyroid, Eltroxin, Estre, Euthyrox, Levo-T, Levothroid, Levoxyl, Synthroid, Unithroid และอื่นๆ

7. ยาเวอราปามิล (Verapamil (Calan, Covera, Isoptin, Verelan))
แคลเซียมส่งผลต่อหัวใจของคุณเช่นเดียวกับยาเวอราปามิล หากคุณกำลังใช้ยาเวอราปามิล ห้ามกินแคลเซียมในปริมาณมากเด็ดขาด

8. ยาขับปัสสาวะกลุ่มไธอะไซด์ไดยูเรติก (Thiazide diuretics)
ยาขับน้ำบางชนิดจะเพิ่มปริมาณแคลเซียมในร่างกายขึ้น การรับประทานแคลเซียมร่วมกับยาขับน้ำอาจทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมมากเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงได้ เช่น ปัญหาที่ไต 

ตัวอย่างยาขับน้ำกลุ่มไธอะไซด์ไดยูเรติก ได้แก่ Chlorothiazide (Diuril), Hydrochlorothiazide (HydroDIURIL, Esidrix), Indapamide (Lozol), Metolazone (Zaroxolyn) และ Chlorthalidone (Hygroton)

9. เอสโทรเจน (Estrogens) 
เอสโทรเจนจะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซับแคลเซียม ซึ่งการกินยาเอสโทรเจนพร้อมกับแคลเซียมปริมาณมากจะทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมมากจนเกินไป ยาเม็ดเอสโทรเจน ได้แก่ Conjugated equine estrogens (Premarin), Ethinylestradiol, Estradiol และอื่นๆ

10. ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง (Calcium channel blockers)
ยารักษาโรคความดันโลหิตสูงบางตัวส่งผลต่อแคลเซียมในร่างกาย โดยยาเหล่านี้เรียกว่ายากลุ่มต้านแคลเซียม (Calcium channel blockers) ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพของยาความดันโลหิตสูง 

ตัวอย่างยากลุ่มนี้มีทั้ง Nifedipine (Adalat, Procardia), Verapamil (Calan, Isoptin, Verelan), Diltiazem (Cardizem), Isradipine (DynaCirc), Felodipine (Plendil), Amlodipine (Norvasc) และอื่นๆ

ยาที่ห้ามให้ร่วมกับแคลเซียมเด็ดขาด

ห้ามใช้แคลเซียมร่วมกับยาเซฟไตรอะโซน (Ceftriaxone (Rocephin)) การให้ยาเซฟไตรอะโซนกับแคลเซียมเข้าเส้นเลือดจะส่งผลร้ายแรงถึงชีวิต โดยมีผลต่อปอดและไต ไม่ควรให้แคลเซียมทางกระแสเลือดภายใน 48 ชั่วโมงของการให้ยาเซฟไตรอะโซน

ปริมาณแคลเซียมที่ควรใช้

แคลเซียมคาร์โบเนตและแคลเซียมซิเทรตเป็นรูปแบบของแคลเซียมที่นิยมใช้กันมากที่สุด ทั้งนี้ อาหารเสริมแคลเซียมมักจะแบ่งปริมาณยาออกเป็น 2 ครั้งต่อวัน เพื่อเพิ่มกระบวนการดูดซึม 

วิธีที่ดีที่สุดในการรับประทานแคลเซียม คือ การรับประทานแคลเซียมร่วมกับอาหารในปริมาณที่ 500 มิลลิกรัม หรือน้อยกว่านั้น และยังมีกรณีของผู้มีภาวะทางร่างกายอื่นๆ ที่ควรระมัดระวังในการบริโภคดังนี้

  • เพื่อป้องกันระดับแคลเซียมต่ำ ใช้แคลเซียม 1 กรัมทุกวัน
  • เพื่อลดฟอสเฟตของผู้ใหญ่ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง (Chronic renal failure) แคลเซียมอะซิเทต โดสแรกคือ 1.334 กรัม (แคลเซียม 338 มิลลิกรัม) ในแต่ละมื้อ จากนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 2-2.67 กรัม (แคลเซียม 500-680 มิลลิกรัม) ในแต่ละมื้อตามความจำเป็น
  • เพื่อป้องกันกระดูกอ่อนแอ (กระดูกพรุน) ใช้แคลเซียม 1-1.6 กรัมทุกวัน ทั้งจากอาหารและอาหารเสริม 
  • สำหรับสตรีมีครรภ์ที่มีการบริโภคแคลเซียมต่ำ ปริมาณที่มีเพื่อการสร้างความหนาแน่นของมวลกระดูกของตัวอ่อนมีระยะตั้งแต่ 300-1,300 มิลลิกรัม/วัน เริ่มจากที่อายุครรภ์ 20-22 สัปดาห์
  • สำหรับอาการก่อนประจำเดือน (PMS) แคลเซียมคาร์โบเนต 1-1.2 กรัม ต่อวัน
  • เพื่อป้องกันการสูญเสียกระดูกในกลุ่มผู้ที่กำลังใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ แบ่งปริมาณยาของแคลเซียมต่อวันเป็น 1 กรัม
  • สำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง แคลเซียมต่อวัน 1-1.5 กรัม
  • เพื่อป้องกันความดันโลหิตสูงระหว่างการตั้งครรภ์ ใช้แคลเซียมทุกวัน เป็นแคลเซียมคาร์โบเนต 1-2 กรัม
  • เพื่อป้องกันกันมะเร็งลำไส้และทวารหนักกับเนื้องอกซ้ำซากที่ลำไส้และทวารหนัก (adenomas) แคลเซียม 1,200-1,600 มิลลิกรัม/วัน
  • เพื่อป้องกันภาวะฟลูออไรด์เป็นพิษในเด็ก แคลเซียม 125 มิลลิกรัม 2 ครั้ง/วัน ร่วมกับกรดแอสคอบิค (Ascorbic acid) และวิตามินดี

การรับประทานแคลเซียมมีข้อควรระวังในการรับประทานหลายอย่าง โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการเจ็บป่วย หญิงตั้งครรภ์ หรือในนมบุตร ทางที่ดี หากคุณต้องการรับแคลเซียมในรูปอาหารเสริม ให้คุณปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปริมาณการรับประทานที่เหมาะสมเสียก่อน 

เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจกระดูก จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


11 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Benefits of Calcium. Everyday Health. (Available via: https://www.everydayhealth.com/kids-nutrition/calcium-benefits.aspx)
Calcium Supplements: Benefits and Risks. Medscape. (Available via: https://www.medscape.com/viewarticle/497826)
Calcium: Health Benefits, Uses, Side Effects, Dosage & Interactions. RxList. (Available via: https://www.rxlist.com/calcium/supplements.htm)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน ผู้อ่านไม่ควรเลือกใช้ยาเองจากการอ่านบทความ ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง เพราะแต่ละท่านอาจมีสาเหตุของโรค โรคประจำตัว และประวัติการรักษาที่ต่างกัน ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)