ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเชื้อไวรัส

รู้จักไวรัส จุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของอาการเจ็บไข้ไม่สบายหลายอย่าง และวิธีทำให้ไวรัสเสื่อมสภาพ
เผยแพร่ครั้งแรก 27 พ.ค. 2019 อัปเดตล่าสุด 17 ม.ค. 2023 ตรวจสอบความถูกต้อง 27 พ.ค. 2019 เวลาอ่านประมาณ 6 นาที
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเชื้อไวรัส

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • ไวรัสเป็นอนุภาคขนาดเล็กมากและเป็นปรสิตภายในของสิ่งมีชีวิต จำเป็นต้องอาศัยเซลล์ของสิ่งมีชีวิตอื่นในการดำรงชีวิตและเพิ่มจำนวน การติดเชื้อไวรัสทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในเซลล์สิ่งมีชีวิตได้หลายอย่าง เช่น ทำให้เซลล์ตาย มีการรวมตัวของเซลล์ 
  • โครงสร้างของไวรัสประกอบด้วยกรดนิวคลีอิก (ควบคุมการสร้างส่วนประกอบของไวรัสและถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม) แคปสิด (โปรตีนที่หุ้มรอบกรดนิวคลีอิก) เปลือกหุ้ม (ไขมันที่หุ้มรอบแคพสิดอีกชั้น พบได้ในไวรัสบางชนิด)
  • ไวรัสสามารถเพิ่มจำนวนได้จากการเกาะติด การเข้าสู่เซลล์ การถอดเปลือกโปรตีน สังคราะห์ส่วนประกอบและเพิ่มจำนวนของไวรัส การประกอบส่วนประกอบของไวัรส การเจริญเติบโตเต็มที่ของไวรัสนั้นๆ 
  • ไวรัสาสามารถเสื่อมสภาพได้ด้วยความร้อน (ประสิทธิภาพแตกต่างไปตามระดับอุณหภูมิ) ความเป็นกรดด่าง การฉายรังสี สารลดแรงตึงผิว สารกลุ่มฟอร์มัลดีไฮด์
  • เราสามารถป้องกันตนเองจากการติดเชื้อไวรัสได้ด้วยการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง รักษาสุขอนามัยให้ดี ติดตามข่าวสารการระบาดของโรคบ่อยๆ หมั่นตรวจสุขภาพ และควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคสำคัญๆ (ดูแพ็กเกจฉีดวัคซีนป้องกันโรคได้ที่นี่

ไวรัสเป็นจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งที่สามารถก่อการติดเชื้อ (infectious agents) ในสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือพืช ทำให้เกิดความเจ็บป่วยตั้งแต่ไม่สบายเล็กน้อยไปจนถึงเกิดโรคที่มีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ 

บทความนี้จะบอกถึงความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเชื้อไวรัส เช่น ส่วนประกอบของไวรัส การจัดหมวดหมู่ของไวรัส วิธีการเพิ่มจำนวนของไวรัส การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเมื่อได้รับเชื้อไวรัส รวมถึงวิธีการที่ไวรัสใช้หลบหลีกระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย 

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

ทั้งนี้เพื่อให้เข้าใจและนำไปสู่การป้องกันไม่ให้ติดเชื้อจากไวรัสนั่นเอง

ไวรัสคืออะไร?

ไวรัสเป็นอนุภาคขนาดเล็กมาก (20-300 นาโนเมตร) และเป็นปรสิตภายในของสิ่งมีชีวิต (Obligatory intracellular parasite) จำเป็นต้องอาศัยเซลล์ของสิ่งมีชีวิตอื่น (Host) ในการดำรงชีวิตและเพิ่มจำนวน 

การติดเชื้อไวรัสสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในเซลล์สิ่งมีชีวิตอื่น เช่น ทำให้เซลล์ตาย มีการรวมตัวของเซลล์ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติจนกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ 

โครงสร้างและส่วนประกอบของไวรัส

  1. กรดนิวคลีอิก (Nucleic acid) ทำหน้าที่ควบคุมการสร้างส่วนประกอบของไวรัสและถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม โดยเป็น DNA หรือ RNA อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
  2. แคปสิด (Capsid) เป็นโปรตีนที่หุ้มรอบกรดนิวคลีอิก ทำหน้าที่ป้องกันกรดนิวคลีอิกและใช้ในการเกาะติดเซลล์โฮสต์
  3. เปลือกหุ้ม (Envelope) เป็นไขมันที่หุ้มรอบแคพสิดอีกชั้น พบได้ในไวรัสบางชนิดเท่านั้น

รูปที่ 1 โครงสร้างของไวรัสที่ไม่มีเปลือกหุ้ม (รูปซ้าย) และไวรัสที่มีเปลือกหุ้ม (รูปขวา)

การจัดหมวดหมู่ของไวรัส

หน่วยงาน International Committee on Taxonomy of Viruses (ICTV) ได้จัดกลุ่มและเรียกชื่อของไวรัสให้เป็นสากล โดยใช้หลักเกณฑ์หลายประการในการจัดหมวดหมู่ เช่น รูปร่างของไวรัส คุณสมบัติของสารพันธุกรรม ขั้นตอนการเพิ่มจำนวน โครงสร้างของโปรตีน รวมถึงรูปแบบการก่อโรค 

การจัดหมวดหมู่จะดูลักษณะที่เหมือน หรือคล้ายกันให้อยู่กลุ่มเดียวกัน ในแต่ละกลุ่มยังสามารถแบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้อีก ดังนี้

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

  • อันดับ(Order) ใช้ชื่อลงท้าย - virales
  • วงศ์(Family) ใช้ชื่อลงท้าย - viridae
  • วงศ์ย่อย(Subfamily) ใช้ชื่อลงท้าย - virina
  • สกุล(Genus) ใช้ชื่อลงท้าย - virus

ยกตัวอย่างการจัดหมวดหมู่ของไวรัสแบบง่ายๆ

  1. DNA virus
    • Family Poxviridae  เช่น Variola virus ก่อโรคฝีดาษ
    • Family Herpesviridae  เช่น Herpes simplex virus ก่อโรคเริม
    • Family Hepadnaviridae  เช่น Hepatitis B virus ก่อโรคไวรัสตับอักเสบ บี
    • Family Papillomaviridae เช่น Human papillomavirus ก่อโรคมะเร็งปากมดลูก
  2. RNA virus
    • Family Rhabdoviridae  เช่น Rabies virus ก่อโรคพิษสุนัขบ้า
    • Family Orthomyxoviridae  เช่น Influenza virus ก่อโรคไข้หวัดใหญ่
    • Family Retroviridae  เช่น Human immunodeficiency virus ก่อโรคเอดส์
    • Family Picornaviridae เช่น Poliovirus ก่อโรคโปลิโอ

การเพิ่มจำนวนของไวรัส

  1. การเกาะติด (Attachment) ไวรัสจะใช้โปรตีนที่จำเพาะจับกับตัวรับของเซลล์โฮสต์
  2. การเข้าสู่เซลล์ (Penetration) หลังจากที่ไวรัสจับกับตัวรับที่เยื่อหุ้มเซลล์ของโฮสต์แล้ว ไวรัสจะเข้าสู่ด้านในเซลล์โดยมีกลไกการเข้าเซลล์ 3 แบบ ดังนี้
    1. Direct pentration: กลไกนี้เกิดขึ้นกับไวรัสที่ไม่มีเปลือกหุ้ม (Naked virus) และมีขนาดเล็ก จะมีการเปลี่ยนแปลงที่แคพสิดก่อนจะปล่อยสารพันธุกรรมเข้าไปในเซลล์
    2. Endocytosis: เป็นกลไกที่พบบ่อย เมื่อโปรตีนของไวรัสกับตัวรับจะเกิดการกระตุ้นให้เยื่อหุ้มเซลล์โค้งงอมาโอบล้อมอนุภาคไวรัสเข้าสู่เซลล์
    3. Fusion: พบได้ในไวรัสที่มีเปลือกหุ้ม (Enveloped virus) เปลือกหุ้มของไวรัสจะหลอมรวกับเยื่อหุ้มเซลล์ของโฮสต์จนพาไวรัสเข้าสู่เซลล์ได้
  3. การถอดเปลือกโปรตีน (Uncoating) การถอดแคปสิดสามารถเกิดขึ้นพร้อมกับการเข้าสู่เซลล์ของไวรัส หรือเกิดหลังจากที่ไวรัสเข้าสู่เซลล์แล้ว ขั้นตอนนี้สารพันธุกรรมของไวรัสจะถูกปล่อยออกจากแคปสิดเพื่อเข้าสู่กระบวนการต่อไป
  4. สังเคราะห์ส่วนประกอบและเพิ่มจำนวนของไวรัส
  5. การประกอบส่วนประกอบของไวรัส (Assembly) เมื่อมีปริมาณโปรตีนและปริมาณจีโนมที่เหมาะสม จะมีการรวมกันที่บริเวรณนิวเคลียส หรือไซโตพลาสซึมของเซลล์
  6. การเจริญเติบโตเต็มที่ (Maturation) ระยะนี้จะได้ไวรัสที่สมบุูรณ์มีความสามารถให้การติดเชื้อ
  7. การออกจากเซลล์ (Release) ไวรัสที่มีเปลือกหุ้ม (Enveloped virus) ต้องการเปลือกเพื่อหุ้มแคปสิดอีกชั้น ทำให้ต้องแทรกตัวตามเยื่อบุเซลล์แล้วออกจากเซลล์โดยการแตกหน่อ (Budding) ส่วนไวรัสที่ไม่มีเปลือกหุ้ม (Naked virus) จะออกนอกเซลล์ เลยทำให้เซลล์แตกและปลดปล่อยไวรัสออกมา

การตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส

  1. ระบบภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะ (Non-specific immunity)
    • อินเตอร์ฟีรอน (Interferon) เป็นสารที่ร่างกายจะหลั่งออกมาเมื่อมีการติดเชื้อโรคต่างๆ เพื่อยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสและกระตุ้นให้เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน
    • เซลล์เพชฌฆาต (Natural Kill cell (NK cell)) เป็นเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันที่ทำลายเชื้อโรคแบบไม่จำเพาะ ในเซลล์ปกติจะมีการแสดงออกของโมเลกุล MHC class I ทำให้เซลล์เพชฌฆาตไม่ทำลายเซลล์ที่ปกติ แต่ในเซลล์ที่มีการติดเชื้อไวรัส เซลล์นั้นการแสดงออกของโมเลกุล MHC class I จะลดลงส่งผลให้เซลล์เพชฌฆาตเข้ามาทำลายได้
  2. ระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะ (Specific immunity)
    • แอนติบอดี (Antibody) ระบบภูมิคุ้มกันนี้จะสร้างแอนติบอดีที่จำเพาะกับอนุภาคและเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสมาจับไว้ เพื่อชักนำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวที่เกี่ยวข้องมาทำลายต่อไป นอกจากนี้แอนติบอดีเมื่อจับกับอนุภาคของไวรัสยังช่วยลบล้างฤทธิ์ของไวรัสได้ด้วย เช่น ป้องกันไม่ให้ไวรัสจับกับตัวรับบนผิวเซลล์โฮสต์ ยับยั้งการเข้าสู่เซลล์ของไวรัส ส่งผลให้ไวรัสไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้
    • ไซโตทอกซิกทีเซลล์ (Cytotoxic T cell) เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่ในการกำจัดเซลล์ที่มีการติดเชื้อ เซลล์ที่ติดเชื้อจะนำหน่วยย่อยของโปรตีน (Peptide) ของไวรัสที่สร้างขึ้นภายในเซลล์ออกมาจำเสนอที่โมเลกุล MHC class I บนผิวเซลล์ที่ติดเชื้อ ทำให้ Cytotoxic T cell หลั่งโปรตีนกระตุ้นให้เซลล์ที่ติดเชื้อให้ตาย

การหลบหลีกของเชื้อไวรัส

  1. หลบหลีกเซลล์เพชฌฆาต (Natural Kill cell (NK cell)) เช่น Cytomegalovirus ไวรัสนี้กระตุ้นเซลล์ที่ติดเชื้อให้สร้างโมเลกุล MHC class I เพื่อหลีกหนีการทำลายของเซลล์เพชฌฆาต
  2. หลบหลีกแอนติบอดี (Antibody) เช่น Influenza virus ไวรัสจะเปลี่ยนแปลงแอนติเจนบนผิว ทำให้แอนติบอดีไม่สามารถจับอนุภาคไวรัสได้
  3. หลบหลีกไซโตทอกซิกทีเซลล์ (Cytotoxic T cell) เช่น Cytomegalovirus ยับยั้งการสร้างโมเลกุล MHC class I ทำให้ไม่สามารถนำเสนอหน่วยย่อยของโปรตีนของไวรัสได้

อ่านเพิ่มเติม: ทำไมไวรัสถึงมีความแข็งแรงมากขึ้นเรื่อยๆ 

โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส

ดังที่ได้กล่าวมาว่า เชื้อไวรัสมีมากมายหลายชนิดจึงสามารถก่อเกิดโรคได้มากมาย ที่เป็นอันตราย ได้แก่ 

อ่านเพิ่มเติม: ความแตกต่างระหว่างไข้หวัดใหญ่ที่เกิดจากไวรัสและแบคทีเรีย

การทำให้เชื้อไวรัสเสื่อมสภาพ

เมื่อไวรัสอาศัยอยู่ตามสิ่งแวดล้อม หรือนอกเซลล์จะถูกทำลายได้อย่างรวดเร็ว ปัจจัยที่ทำให้ไวรัสเสื่อมสภาพได้มีดังนี้

ความร้อน โดยมีรายละเอียดดังนี้

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

  • ที่ 50-60 องศาเซลเซียส สามารถอยู่ได้นาน 30 นาที ยกเว้น Hepatitis virus, Adenostellite virus
  • ที่ 37 องศาเซลเซียส สามารถ อยู่ได้นานนาน 2-3 ชั่วโมงสำหรับไวรัสที่ไม่เปลือกหุ้ม แต่ไวรัสที่มีเปลือกหุ้มจะถูกทำลายได้อย่างรวดเร็ว
  • ที่ 4 องศาเซลเซียส สามารถอยู่ได้นานเป็นวัน
  • ที่ -70 องศาเซลเซียส สามารถอยู่ได้นานเป็นปี

ความเป็นกรด-ด่าง ไวรัสจะเจริญเติบโตได้ดีที่ค่า pH (ค่าความเป็นกรด-ด่าง) ที่ 5.0-9.0 ดังนั้นสารละลายที่เป็นด่างสามารถทำลายเชื้อไวรัสได้

การฉายรังสี ได้แก่ รังสีแกมมา รังสีอุลตราไวโอเลต (Ultra violet (UV)) และรังสีเอกซเรย์ (X-ray)

สารลดแรงตึงผิว สามารถยับยั้งไวรัสที่มีเปลือกหุ้ม เช่น อีเทอร์ (Ether) แอลกอฮอล์ (Alcohol)

สารเคมีกลุ่มฟอร์มัลดีไฮด์ สารเคมีจะทำลายกรดนิวคลีอิกของไวรัส

วิธีป้องกันการติดเชื้อไวรัส

  • รับวัคซีนป้องกันในโรคสำคัญ เช่น ไวรัสตับอักเสบบี โปลิโอ หัด คางทูม ไข้สมองอักเสบ โรคไช้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่
  • รับวัคซีนเพิ่มเติม เมื่อมีการระบาดของโรค หรือในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  • สำหรับโรคที่มีพาหะนำโรค เช่น ไข้เลือดออก สามารถป้องกันได้โดยกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายซึ่งเป็นพาหะ
  • ปฏิบัติตนให้แข็งแรงอยู่เสมอ เช่น ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ 
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักสดและผลไม้สด
  • ปฏิบัติตนให้ถูกสุขลักษณะ เช่น การรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ล้างมือให้ถูกวิธีให้บ่อยครั้ง รักษาความสะอาดในการขับถ่าย ไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
  • พักผ่อนให้เพียงพอ 
  • หลีกเลี่ยงการไปอยู่ในสถานที่แออัดด้วยผู้คน
  • ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการระบาดของโรคอยู่เสมอเพื่อรับทราบข้อปฏิบัติตนที่ถูกต้อง

อ่านเพิ่มเติม: วิธีการดูแลตัวเองในฤดูฝน ให้ห่างไกลจากโรคไข้หวัด

ไวรัสแม้จะเป็นจุลินทรีย์ที่สามารถก่อโรคได้มากมาย แต่หากเรารู้จักดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรง รุ้จักป้องกันตนเองจากปัจจัยเสี่ยงในการก่อโรคต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมแล้ว ไวรัสก็ไม่อาจทำร้ายร่างกายเราได้ 

หรือหากโชคร้ายติดเชื้อขึ้นมาจริงๆ ความรุนแรงของอาการเจ็บป่วย หรือโรค ย่อมลดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ป้องกันตนเองด้วยวิธีใดๆ เลย 

ดูแพ็กเกจฉีดวัคซีนป้องกันโรค เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android

รวมบทความที่เกี่ยวข้องกับโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส


4 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
ดลฤดี สงวนเสริมศรี. ไวรัสวิทยาทางการแพทย์พื้นฐาน. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2558.
Verhoef J., Snippe H. Immune response in human pathology: infections caused by bacteria, viruses, fungi, and parasites. 2nd ed. Switzerland: Birkhäuser Basel, 2005.
Fauque CM, Mayo MA, Maniloff J, Desselberger U, Ball LA. Virus taxonomy. VII the report of the International Committee on Taxonomy of Virus. Academic Press: Elsevier, 2005.

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป